ยิ่งสืบสวนยิ่งเจอข้อเท็จจริงในการจะเอาผิดกำนันนก หรือประวีณ จันทร์คล้าย เกี่ยวโยงกับการเสียชีวิตของพ.ต.ต.ศิวกร สายบัว หรือสารวัตรศิว สว.ส.ทล.1 กก.2 บก.ทล. ถูกหน่อง ลูกน้องกำนันนก ยิงปลิดชีพคางานเลี้ยงอย่างอุกอาจ ต่อหน้าตำรวจหลายนาย หลังการกู้เซิร์ฟเวอร์กล้องวงจรปิดทั้ง 13 ตัว จะเป็นอีกหนึ่งหลักฐานสำคัญว่าใครทำอะไร และพบว่าตำรวจส่วนใหญ่ที่มาร่วมงานเลี้ยง ให้การขัดแย้งกับข้อเท็จจริง ซึ่งเข้าข่ายความผิดให้การเท็จ
กล้องวงจรปิด 2 ตัว ได้เห็นนาทีสังหารสารวัตรศิว แต่จุดขณะลั่นไกนั้นหายไป จากการเปิดเผยของ "บิ๊กโจ๊ก" พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. และชี้อีกว่าก่อนจะยิงน่าจะมีลูกน้องกำนันนก ดึงสายแลนออก เป็นการเตรียมการที่จะยิง เพื่อไม่ให้เห็นภาพขณะลั่นไก และมีลูกน้องกำนันขนปืนเข้ามาในบ้าน เป็นสิ่งบ่งชี้ว่าตั้งใจจะยิง ถือเป็นความเหิมเกริม และลำเลียงคนแก่ออกจากพื้นที่ก่อนจะมีการยิง
แม้ภาพขณะลั่นไกยิงสารวิตรศิวไม่มี จากการดึงสายแลนออก แต่พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยืนยันไม่ได้ทำให้คดีเสียไป และต่อมาได้ออกมาระบุว่า ไม่ได้มีการดึงสายแลน แต่กำนันนกเป็นคนปิดเองตั้งแต่เวลา 10.16 น. อาจมีคนเตือนไม่ควรเปิดกล้องในงาน ขณะที่ตำรวจส่วนใหญ่ให้การขัดแย้งข้อเท็จจริง ต้องดำเนินคดีทั้งหมด และเมื่อเกิดเหตุต่างคนต่างออกมา เป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ มีเพียงตำรวจชั้นประทวน 5 นาย นำตัวสารวัตรศิวส่งโรงพยาบาล ไม่ใช่ 10 นาย โดยเฉพาะตำรวจระดับสูง ออกไปจากพื้นที่เกิดเหตุ ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือตามที่ให้การไปก่อนหน้า
...
สุดท้ายแล้วคดียิงสังหารสารวัตรศิว จะลงเอยอย่างไร? “รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล” ผู้ช่วยอธิการบดีและประธานกรรมการคณะอาชญาวิทยา มหาวิทยาลัยรังสิต ได้ฉายให้เห็นภาพของคดีนี้ว่า เริ่มตั้งแต่การทานข้าวภายในบ้านกำนันนก ซึ่งวัตถุประสงค์หลักๆ เป็นการทานข้าวกันปกติ หรือมีวัตถุประสงค์อื่นซ่อนเร้นแอบแฝง เพื่อจะให้สารวัตรศิว ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายเรื่องส่วยรถบรรทุก และขอโยกย้ายตำแหน่งให้หลานเขย
อีกทั้งภายในงานเลี้ยงจากภาพกล้องวงจรปิดพบว่าหน่อง ลูกน้องกำนันนก มีการพกปืน รวมถึงรปภ.มีการถือปืนคุมเชิงให้กำนันนก และมีตำรวจ 20 กว่านาย มาร่วมงาน ทั้งนี้ไม่ใช่การมาร่วมงานเลี้ยงเพียงครั้งเดียว และประการต่อมาทำไมพลเรือน ต้องพกปืนมาด้วย โดยเฉพาะหน่อง เป็นปืนของตำรวจจากโครงการสวัสดิการตำรวจ ทำไมให้คนอื่นใช้ และรปภ. ยังใช้อาวุธปืนของคนอื่น ซึ่งน่าแปลกใจในการพกปืน ถือปืนคุ้มเชิงภายในงาน
ตำรวจยังโดนฆ่า จี้รัฐบาลถอนรากถอนโคนผู้มีอิทธิพล
ขณะที่เกิดเหตุทำไมตำรวจหลายคนไม่ร่วมจับกุมคนร้าย บางกระแสก็บอกว่าคนร้ายมีการลดปืนลง หรือระหว่างเกิดเหตุตำรวจได้เข้าที่กำบังให้วางอาวุธปืนลง น่าจะมีภาพจากกล้องวงจรปิด และถ้าสถานการณ์ยุติแล้ว ทำไมไม่คุมตัวคนร้าย โดยเฉพาะกำนันนก ถ้าบริสุทธิ์ใจ ทำไมต้องหนี และประการสำคัญหน่อง ไม่มีเรื่องโกรธเคืองกับสารวัตรศิว แต่ระหว่างกำนันนกกับสารวัตรศิว ในเรื่องโยกย้ายตำแหน่งและส่วยรถบรรทุก ซึ่งน่าเป็นชนวนก่อเหตุ
“จากกล้องวงจรปิดทำไมตำรวจต้องพากำนันนกหลบหนี โดยเฉพาะลูกน้องของสารวัตรศิว เป็นผู้พาไป ทำให้สังคมรู้สึกไม่สบายใจในการไม่ทำหน้าที่ของตำรวจ และจะเป็นการถอนรากถอนโคนผู้มีอิทธิพล ควรทำเป็นนครปฐมโมเดล และอยากให้รัฐบาลเข้ามาจัดการเรื่องมาเฟียทั่วประเทศ เพื่อความสงบเรียบร้อยของชุมชนและสังคม ให้คนรู้สึกว่าออกจากบ้านแล้วปลอดภัย ไม่ให้รู้สึกว่าขนาดตำรวจยังโดนยิง โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ก.ตร. ตามพ.ร.บ.ตำรวจฯ 2565 มีอำนาจในการพิจารณาในเรื่องนี้”
...
จากข้อมูลกล้องวงจรปิดตามที่พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกมาระบุบางส่วน เชื่อว่ามีจริง ไม่ใช่การลับลวงพราง ก็เข้าใจในการทำงานของฝ่ายสืบสวน เกรงว่าอาจเป็นข้อต่อสู้ของฝ่ายตรงข้ามได้ แต่ก็ยังสงสัยในหลายประเด็นว่าทำไมกำนันนก จึงเป็นผู้มีอิทธิพล มีลูกน้องและรปภ.พกปืนได้ และมีตำรวจมาร่วมงานเลี้ยง รวมถึงภาพก่อนหน้ามีตำรวจถอดเสื้อในงานเลี้ยง
อีกทั้งสามารถประมูลงานโครงการรัฐ มูลค่ารวม 7 พันกว่าล้าน ก็ต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียด และตกลงว่าผู้มีอิทธิพลมีเฉพาะกำนันนก หรือมีแบ็กอัปอื่นอีก เพราะการยิงตำรวจเสียชีวิต เป็นเรื่องใหญ่มากโดยเฉพาะระดับสารวัตร เป็นการทำลายความเชื่อมั่นของประชาชน กลายเป็นว่าตำรวจ ก็โดนฆ่าเสียเอง
กำนันนก ต้องรับโทษประหาร เสมือนเป็นตัวการ
ข้อสงสัยเกี่ยวกับกล้องวงจรปิด ซึ่งเป็นพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ จากเดิมที่ระบุอาจมีคนดึงสายแลนก่อนเกิดเหตุ กลายมาเป็นว่ากำนันนกเป็นคนปิดสวิตช์เอง ในประเด็นเหล่านี้ไม่ว่าในส่วนตำรวจหรือผู้เชี่ยวชาญทำการพิสูจน์ จะได้ผลตรงกันในเรื่องวันเวลาว่าตกลงมีการปิดสวิตช์หรือปิดกล้องวงจรปิดตั้งแต่ช่วงเช้า และมีคำถามตามมาว่ากำนันนก หรือลูกน้อง ตั้งใจทำในช่วง 10 โมงเช้า หรือทำก่อนก่อเหตุทำร้ายสารวัตรศิว
...
“แต่ก็สงสัยทำไมไม่หยุดกล้องวงจรปิดไปทั้งหมด และจากข้อมูลของบิ๊กโจ๊ก ก็บอกว่าเป็นจุดที่กำนันนกนั่งอยู่ตรงนั้น ก็เลยมีคนบอกให้ถอดปลั๊กออก เชื่อว่าคนที่บอกอาจดูว่าไม่เหมาะสม อีกอย่างก็มีตำรวจนั่งแถวนั้นด้วย ซึ่งเท่าที่ฟังพยานบุคคลจากการให้ข้อมูลผ่านตำรวจ และตำรวจให้ข้อมูลผ่านสื่อจากการกู้เซิร์ฟเวอร์มาได้ มีการพูดถึงเรื่องส่วย และกำนันไม่พอใจจนมีการตบโต๊ะ ก็เชื่อว่ากำนันมีส่วนเกี่ยวข้อง”
อย่างที่บอกว่าหน่อง ไม่มีความขัดแย้งเป็นการส่วนตัวกับสารวัตรศิว ดังนั้นกำนันนกจะมีความผิดโทษสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต เพราะเป็นผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนตัวการ ส่วนกรณีการฮั้วประมูลมีความผิดตามพ.ร.บ.ฮั้วประมูล มีเจ้าหน้าที่รัฐส่วนใดเข้ามาเกี่ยวข้องบ้าง ถ้ามีความผิดก็ต้องโดนกฎหมายฟอกเงินมาจัดการ หากแนวทางสืบสวนไปถึงก็จบ โดยทรัพย์สินต้องตกเป็นของแผ่นดิน ทั้งที่เป็นบริษัทไม่ใหญ่ แต่ประมูลได้หลายโครงการ ก็ต้องติดตามดูกันต่อไป.