“ปิดสวิตช์ ส.ว.” กำลังเป็นกระแสร้อนแรง มีผลต่อการนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล หลังกวาดที่นั่ง ส.ส. เป็นอันดับ 1 ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล จับมือร่วมกับ 6 พรรคได้เสียงข้างมากในสภารวม 311 เสียง ทว่าต้องฝ่าด่านหิน ส.ว. 250 เสียง ในการประชุมร่วมรัฐสภาโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี จะต้องได้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง หรือ 376 เสียงของจำนวน ส.ส. และ ส.ว. รวมกัน

การได้มาซึ่งเสียงสนับสนุนที่เหลืออีก 65 เสียงให้พิธา เป็นนายกรัฐมนตรี น่าจะลำบากมากๆ ในการจะอาศัยเสียงจาก ส.ว. มรดกอำนาจของ คสช. ซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้าราชการทหาร ตำรวจ อดีตรัฐมนตรี อดีตข้าราชการ และนักกฎหมาย หลายคนได้ออกมาประกาศชัดถึงจุดยืนไม่ยกมือให้อย่างเด็ดขาด อ้างว่าพรรคก้าวไกลจะมุ่งแก้ไขมาตรา 112 บ้างก็ขอดูปัจจัยอื่นๆ และบางคนมองว่าพิธา ไม่มีคุณสมบัติเป็นนายกรัฐมนตรี แม้เป็นพรรคเสียงข้างมากก็ตาม ขณะที่ ส.ว. บางส่วน ปิดสวิตช์ตัวเองตั้งแต่เสนอให้แก้รัฐธรรมนูญ ไม่ใช้อำนาจเลือกนายกรัฐมนตรี

พรรคก้าวไกลแกนนำจัดตั้งรัฐบาลนัดวางแผนจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่
พรรคก้าวไกลแกนนำจัดตั้งรัฐบาลนัดวางแผนจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่

...

ถือว่าขั้วอำนาจ ส.ว. เป็นตัวแปรสำคัญในการชี้ชะตาพิธา จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่? แต่ด้วยกระแสโซเชียลกดดันอย่างหนักให้ ส.ว. ทำหน้าที่ตามเสียงต้องการของประชาชน หลังผลการเลือกตั้งออกมา ควรต้องโหวตนายกรัฐมนตรี จากพรรคเสียงข้างมาก เพื่อการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ให้ทำหน้าที่บริหารประเทศ ไม่ใช้เปิดทางให้มีการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย จนทำลายระบอบประชาธิปไตย

อนาคตของพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ว่าที่นายกรัฐมนตรี จะเป็นอย่างไรต่อไป? ”รศ.ดร.นันทนา นันทวโรภาส” คณบดีวิทยาลัยสื่อสารการเมือง มหาวิทยาลัยเกริก ได้ไล่เรียงซีเนริโอฉากทัศน์ที่ 1 ที่น่าจะเกิดได้ เนื่องจากบรรดาลุงๆ ทั้งหลายไม่ยอมแพ้ ทำให้พรรคร่วมรัฐบาลเดิมอาจจับมือตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย รวม 190 เสียง มีการแข่งเสนอแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และทาง ส.ว. ก็จะโหวตสนับสนุน แต่ต้องอาศัยความใจถึงของลุงๆ เพราะรัฐบาลเสียงข้างน้อย ไม่มีเสถียรภาพ เมื่อเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็จะล้มได้ง่าย เพราะเสียงไม่มี

อีกกรณีไม่มีการแข่งขันตั้งรัฐบาล แต่ ส.ว. ทั้งหลาย ไม่สนับสนุนฝ่ายพรรคเสียงข้างมาก ทั้งยื้อ ทั้งโนโหวต โหวตค้านบ้าง โหวตสวนทวนกระแสประชาชน ทำให้มีโอกาสรวมตัวลงถนนก็เป็นไปได้ แม้ว่า ส.ว. บางคนออกมาประกาศจะสนับสนุน แต่ค่อนข้างน้อยกว่า ส.ว. ที่จะโหวตทวนกระแสประชาชน ยังมีอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งไม่แน่ใจหลัง กกต. ประกาศรับรองผลเลือกตั้ง ทาง ส.ว. จะยืนยันจะไม่โหวตให้พิธา อีกหรือไม่ และที่น่าห่วงเกรงว่า ลุงๆ ทั้งหลาย ได้ส่งสัญญาณให้ ส.ว. เล่นเกม

ส.ว. คงไม่อยากเสียเกียรติภูมิ หาก 2 ลุง ไม่ส่งสัญญาณ

ขณะที่ กกต. คงลากยาวเต็มที่ 60 วันในการประกาศรับรองผลเลือกตั้ง มีการสอยให้ใบเหลืองใบแดง ส.ส. เป็นจำนวนมาก จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง อาจทำให้ลูกบ้าทั้งหลายของลุง 2 คน คงต้องการจะยื้อขอดูผลเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ แต่เมื่อพิจารณาผลการเลือกตั้งโดยภาพรวม มีลักษณะได้เสียงข้างมากแบบเบ็ดเสร็จในแต่ละพื้นที่ ทำให้ชนะขาดโดยเฉพาะซีกของพรรคก้าวไกลได้ 5 พันคะแนนขึ้นไป หากจะสอยก็จะลำบาก และยังไม่ได้ยินการร้องเรียนเรื่องทุจริตเลือกตั้ง

หาก กกต. สอยโดยไม่มีเหตุผล ก็จะเดือดร้อน เพราะถูกจับตามาโดยตลอด หากพยายามจะยื้อก็จะตกเป็นจำเลยของสังคม เมื่อ กกต. ประกาศรับรองผลเลือกตั้ง หากไม่มีอะไรเป็นอุบัติเหตุ ก็จะเดินหน้าเลือกประธานสภาฯ โดยใช้เสียง ส.ส. เท่านั้นให้เป็นไปตามครรลอง และหลังจากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งขั้นตอนนี้จะเป็นปัญหา แต่จากการดูเกมรับของพรรคก้าวไกล ไปกดดัน ส.ว. ก็คิดว่าใช้ระยะเวลาก่อน 60 วัน จะมีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี และถ้าลุง 2 คน ไม่ส่งสัญญาณใดๆ คิดว่า ส.ว. คงไม่อยากให้เสียเกียรติภูมิ ก็น่าจะเลือกพิธา

...

“ยิ่งมีมติมวลชนเข้าไปกดดัน ส.ว. ไปกดดันพรรคการเมืองที่ไม่ร่วมจัดตั้งรัฐบาล ก็ได้ผล อย่างกรณีอลงกรณ์ พลบุตร จากพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาแสดงท่าทีให้ทางพรรคสนับสนุนพิธา เป็นการแสดงสปิริต น่าจะได้ผล ไม่ใช่เพียงก้าวไกล แต่มหาชนทั้งหลาย จะจัดการนักการเมืองที่นำเสนอแนวคิดแบบเดิมๆ จากพลังโซเชียล ทำอย่างเต็มที่ในการกดดัน ส.ว. และพรรคการเมืองที่ไม่ใช่ฝ่ายรัฐบาล เชื่อว่าเมื่อถึงตอนนั้นน่าจะได้เห็น ดูเหมือนว่าแรงกดดันน่าจะได้ผล จนมีบางพรรคและ ส.ว. บางส่วนออกมาสนับสนุน”

แรงกดดัน ส.ว. อาจกลับลำนาทีสุดท้าย หันมาหนุนพิธา 

ยกเว้นท่าทีของ 2 ลุง ได้ส่งสัญญาณจะออกมาแข่งขัน ทั้งๆ ที่ช่วงสุดท้ายของชีวิตควรไม่ทำอะไรสวนกระแสประชาชน ไม่ทำลายระบอบประชาธิปไตย ทำให้ ส.ว. ต้องลุกขึ้นขานชื่อในการลงมติไม่เลือกพิธา เป็นนายกรัฐมนตรี และจะต้องถูกประณาม ถูกกระแสสังคมบีบ อาจต้องกลับลำในนาทีสุดท้ายก็ได้ และเมื่อไม่เลือกพิธา ก็ไม่มีใครเป็นนายกรัฐมนตรี จะทำให้รัฐบาลชุดเก่ารักษาการต่อไป ซึ่งไม่รู้ว่า ส.ว. ทำไปทำไม และอยากให้ลุงทั้ง 2 คน แสดงสปิริตไม่ไปต่อ เพราะถ้ายังไม่ประกาศ จะเกิดความคลุมเครือ ทำให้ ส.ว. ต้องสงวนท่าทีว่าจะเอาอย่างไรดี

...

หวังว่าจะมีแนวโน้มที่ดีหลังจากนี้ เนื่องจากการเลือกตั้งครั้งนี้ได้เปลี่ยนแปลงการเมืองไทยโดยสิ้นเชิง ภายหลังพรรคก้าวไกลเข้ามาเปลี่ยนแปลงแบบถอนรากถอนโคน จากที่พรรคเพื่อไทย ไม่เคยแพ้เลือกตั้ง เป็นที่หนึ่งมาตลอด แต่กลับพ่ายแพ้ และพรรคก้าวไกลขึ้นมาผงาด โดยไม่ได้ใช้วิธีการเมืองแบบเก่าๆ เป็นการเปิดโฉมหน้าใหม่การเมืองไทยว่าเงินใช้ไม่ได้แล้วในการเปลี่ยนแปลงการเมืองไทย ก็ให้ไปคิดใหม่

อีกทั้งกระแสโซเชียลและประชาชนส่วนใหญ่ต้องการให้พิธา เป็นนายกรัฐมนตรี อาจได้เห็น ส.ว. ที่เคยคิดว่าตัวเองมีอำนาจ ไม่เคยฟังเสียงมหามวลชน จะต้องถึงคราวทบทวน เพราะขณะนี้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรงแบบพลิกฟ้า จากเสียงประชาชนเรียกร้อง.