จากหนังด้านมืด สู่เหตุกราดยิง เขย่าขวัญซ้ำเติม นักท่องเที่ยวจีน รองปธ.อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ชี้ "ฟรีวีซ่า" ยังไม่ช่วย ขอรัฐบาลเร่งแก้ ก่อนตรุษจีน...

เหตุกราดยิงกันในห้างใหญ่ระดับประเทศ  

ผู้ก่อเหตุ คือ “เยาวชน” อายุ 14 ปี 

ผู้เสียชีวิต 2 ราย เป็นชาวต่างชาติ เวียดนาม และชาวจีน โดยเฉพาะ ชาวจีน คือ “นักท่องเที่ยว” 

รัฐบาล เพิ่งเปิด “ฟรีวีซ่า” เพื่อหวังช่วง Golden Week ที่จะมีนักท่องเที่ยวจีน มาในไทย 

เสียงปืนดังสนั่นในห้าง ดูเป็นจังหวะที่ “เลวร้าย” สำหรับการท่องเที่ยวไทย ที่คาดหวังไว้... 

“มิหนำซ้ำ” โลกโซเชียลฯ จีน ยังกระหน่ำซ้ำเติม ด้วยภาพ คลิป ที่ “เยาวชน” รายนี้ไปซ้อมยิงปืนอีก เรียกว่าเป็นการ “ซ้ำเติม” ภาพย้ำ

เสียงปืนที่ดังสนั่นในห้าง...จะมีผลขนาดไหน ควันปืนและกลิ่นคาวเลือด ผ่านโลกโซเชียลมีเดียจีน ที่กระหน่ำถึงเรื่อง “เยาวชน” อายุ 14 ปี ที่ก่อเหตุ ที่มีทั้งภาพ คลิปซ้อมยิงปืน ยังติดตา 

...

นี่คือ ปัญหาโดยตรงที่หน่วยด้านการท่องเที่ยวไทย ทั้งภาครัฐ และเอกชน ต้องช่วยกันแก้ปัญหา จากประเด็นดังกล่าว ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้พูดคุยกับ นายสุรวัช อัครมาศ รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ซึ่งยอมรับว่า เหตุกราดยิงที่ขึ้นในห้างพารากอน ย่อมมีผลกระทบกับการท่องเที่ยวไทย โดยเฉพาะชาวจีน ที่กำลังมีแผนที่จะเดินทางท่องเที่ยว โดยในเบื้องต้น คาดว่า จะกินระยะเวลาประมาณ 1 เดือน 

ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวฯ เปรียบเทียบว่า เหตุการณ์กราดยิงครั้งนี้ เมื่อเทียบกับเหตุ ระเบิดที่ศาลพระพรหมเอราวัณ ในตอนนั้น ซึ่งมีเป้าหมายเป็นนักท่องเที่ยว ถือว่าร้ายแรงกว่ามาก แต่ครั้งนั้นเราสามารถฟื้นการท่องเที่ยวกลับมาได้อย่างรวดเร็ว เพราะ “พื้นฐาน” การดูแล ประสานงาน หรือพูดคุยเกี่ยวกับการท่องเที่ยวของเรานั้น ต่างชาติให้ความเชื่อมั่น เพราะถือว่าครบในทุกมิติ ฉะนั้น ในครั้งนี้ก็เชื่อว่า “การฟื้นความเชื่อมั่น” ในนักท่องเที่ยวจีน จะกลับมาได้อย่างรวดเร็ว 

แต่....ประเด็นปัญหาสำคัญในเวลานี้ คือเรื่อง fake news มีเยอะมาก โดยเฉพาะในโลก TiKTok  “ไม่มาแล้วๆๆๆ” คือคำที่ถูกย้ำ และพูดกันมาก โดยเฉพาะชาวจีนที่เรียกตัวเองว่า TikToker เพราะใครๆ ก็สามารถเป็นได้  

ประเด็นสำคัญมันอยู่ที่ ภาพ “เยาวชน” ที่มีการซ้อมในสนามยิงปืน ซึ่งถือเป็นภาพที่คนจีนถ่ายได้ และแพร่หลายในโลกโซเชียลมีเดียจีน ขณะนี้ เรื่องนี้ถูกพูดถึง ทั้งข้อมูลจริง และข้อมูลบิดเบือน อย่างไรก็ตาม เวลานี้ สื่อหลักของจีน ก็กำลังตรวจสอบ และคลิปบางส่วนที่บิดเบือนก็เริ่มน้อยลง 

“ภาพยนตร์” สื่อบันเทิง ที่ให้คุณและโทษ การท่องเที่ยวไทย 

ก่อนหน้านี้ ประเทศไทย ได้นักท่องเที่ยวจีน มากกว่า 11 ล้านคน จากภาพยนตร์ LOST IN THAILAND เรียกว่า ทำให้ใครๆ ก็อยากมาตามรอย เหล่าพระเอกที่มาเรียกเสียงฮา จากสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ 

กระทั่งมี ภาพยนตร์ทำเงิน ในจีน 2 เรื่อง ในปีนี้ คือ  Lost in The Stars เรื่องราวเกี่ยวกับคู่สามีภรรยา แล้วจู่ๆ ภรรยาก็หายตัวปริศนา และเมื่อกลับมา สามีกลับรู้สึกว่าไม่ใช่คนเดิม ส่วนอีกเรื่อง คือ No More Bets ภาพยนตร์เกี่ยวกับการลักพาตัวนักท่องเที่ยว และ บังคับให้ไปเป็น แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งทั้ง 2 เรื่อง มันตอกย้ำเรื่องความไม่ปลอดภัยในประเทศแถบนี้...

จากประเด็นดังกล่าว นายสุรวัช กล่าวว่า ภาพยนตร์ 2 เรื่องนี้ มันส่งผลให้คนจีนบางส่วนก็หวาดวิตกจะมาเที่ยวเมืองไทย ส่วนหนึ่ง ทางการจีนเอง ก็ยังไม่สนับสนุนให้คนไปเที่ยวต่างประเทศ ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ ดังนั้น ข่าวที่ออกมาจึงมีลักษณะ “คลุมเครือ” 

...

“หากนายกฯ ไทยได้เดินทางไปที่จีน ก็เชื่อ ทางจีนจะช่วยเรื่องการแก้ภาพลักษณ์ โดยมีปัจจัยคือ จีนต้องการเพื่อน สานสัมพันธ์ หากเรา ไปพูดคุยด้วยความจริงใจ หรือขอให้เขาช่วยแก้ปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะเรื่อง 'ทัวร์ศูนย์เหรียญ' เขาอาจจะให้ความช่วยเหลือก็เป็นได้ เนื่องจากการแก้ปัญหาแบบนี้ จะให้ประเทศไทยแก้ฝ่ายเดียวก็คงทำไม่สำเร็จ” 

ไทยซ้ำกันเอง ปล่อยข่าวมั่ว บอกคนจีน หาย 50%

ที่ผ่านมา นายสุรวัช ได้ยินข่าว ว่ามีคนจีนหายไป 50% หลังเกิดเหตุการณ์ ซึ่งเรื่องนี้ไม่เป็นความจริงเลย ถามว่าหลังเกิดเหตุ คนจีน กลับบ้านทันทีไหม... ก็อาจจะมีบางส่วน เฉพาะคนที่อยู่ในเหตุการณ์ และที่กลับบ้านได้เลย ก็เพราะค่าตั๋วเครื่องบินแสนจะราคาถูก เรียกว่า ถูกกว่าบินไปภูเก็ตอีก 

“ตั๋วกวางโจว ราคาประมาณ 400-500 หยวน คิดเป็นเงินไทย 2,500-3,000 บาท เรียกว่าถูกกว่าภูเก็ตเสียอีก การที่ทิ้งการท่องเที่ยวและกลับบ้านเลยไม่ใช่เรื่องยาก หากจะแห่กันกลับจริงๆ ราคาตั๋วต้องดันราคาไปมากกว่านี้ แต่เวลานี้ราคาตั๋วก็อยู่ในเกณฑ์ปกติ” 

นายสุรวัช ย้ำว่า การที่ประเทศไทย เปิด “ฟรีวีซ่า” คนจีนไม่ได้มาเยอะอย่างที่คิด หากดูไทม์ไลน์ การเปิดฟรีวีซ่า ก็เพิ่งจะเปิดได้ไม่นาน คนที่จะมา ตอนนี้อาจจะยังไม่ได้เตรียมตัวมากันเลย 

“เดิมทีนักท่องเที่ยวจีนเองก็เดินทางมาเที่ยวในไทยไม่เยอะอยู่แล้ว เนื่องจากหนังด้านลบ เกี่ยวกับความไม่ปลอดภัย แต่เมื่อมีการประกาศ “ฟรีวีซ่า” ก็เพิ่งจะเริ่มใช้เมื่อกลางเดือนกันยายน การที่เพิ่งเริ่มใช้ และจะให้เขามาเที่ยวทันทีเลย เป็นเรื่องยาก เรื่องนี้ไม่แปลกเลย แต่จะมาอ้างว่า ช่วง Golden Week จะมาเยอะเลย แบบนี้ไม่ใช่ หากแต่ได้ทางรัฐบาลช่วย เช่น นายกฯ ไปจีน ทาง ปธน.สี จิ้นผิง ช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศไทย หากทำได้ เชื่อว่านักท่องเที่ยวจีนจะกลับมา” 

...

ห่วง “ฟรีวีซ่า” และปัญหาที่ตามมา 

นายสุรวัช ยอมรับว่า การเปิด “ฟรีวีซ่า” เป็นเรื่องดี ที่อาจจะดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนได้ แต่ในทางกลับกัน ประเทศไทยเองก็มีปัญหาเรื่องการ สกรีนคนเข้าประเทศ การที่มีวีซ่า อย่างน้อยก็มีการกรอกข้อมูลต่างๆ เช่น ที่พำนัก สถานท่องเที่ยว มาทำอะไร อยู่ที่ไหน แต่การฟรีวีซ่า คำถามคือ มีการตรวจสอบอะไรเขาบ้าง โดยเฉพาะในมุม “การเข้าเมือง” 

“ในอดีต เรามีใบ ตม.6 ที่ต้องกรอก แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีการกรอก พอไม่มีมาตรการตรงนี้ ถามว่าคนไทยที่ไม่เข้าใจเรื่องนี้ ก็อาจจะปฏิเสธ ขณะเดียวกัน คนจีนเองเขาก็คงงงเช่นกัน เพราะไม่มีการตรวจสอบอะไรเลย นี่ถือว่าแปลกมาก ความหมายของผม คือ อยากให้รัฐทำระบบ อะไรสักอย่างออกมา เพื่อให้นักท่องเที่ยว กรอกเป็นข้อมูล อย่างน้อยที่สุด คนไทย ก็รู้สึกว่าปลอดภัย เพื่อเป็นการตรวจสอบให้คนไทยรู้สึกปลอดภัย” 

...

งานด่วน แก้ความรู้สึก ความไม่ปลอดภัย งานต่อไป ดูแลผู้ประกอบการ 

ประเด็นสำคัญในเวลานี้ ที่ทางรองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เน้นย้ำ คือ การทำให้คนจีนรู้สึกปลอดภัย ซึ่งก็คงต้องหวังภาครัฐเข้าช่วย ประสานงานกับทางการจีน ส่วนตัวเชื่อว่า ทุกอย่างจะดีขึ้น หลังจากนี้ 1 เดือน หรือเดือนครึ่ง หากภาครัฐและเอกชนช่วยกัน หากทำไม่ได้ ช่วงตรุษจีน ผู้ประกอบการ ที่เกี่ยวกับทัวร์จีน น่าจะได้รับผลกระทบ 

“ต้องยอมรับว่า 3 ปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการรับ นักท่องเที่ยวจีนเจ็บเยอะ และช่วงนั้น ก็มีผู้ประกอบการที่เป็นคนจีนบางส่วน มาลงทุนในไทย จะถูกกฎหมายหรือไม่ก็อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ ทั้งห้าง ร้านอาหาร หรือแหล่งท่องเที่ยว ขณะเดียวกัน คนจีนเอง ก็เปลี่ยนพฤติกรรมการเที่ยว ไม่ได้มาเที่ยวผ่านกรุ๊ปทัวร์ก็เยอะ แล้วทัวร์จะอยู่อย่างไร...ไม่รวมทุนจีนบางส่วนที่เข้ามาแย่งอาชีพคนไทย กลายเป็นทัวร์ศูนย์เหรียญ เรื่องนี้ก็คือความเดือดร้อนที่รัฐบาลต้องช่วยดูแลแก้ไขด้วย นอกจากการดึงนักท่องเที่ยวกลับมา” 

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน

อ่านบทความที่น่าสนใจ