อย่างที่ทราบกันว่า เดือนมิถุนายน เป็นเดือนแห่งความตึงเครียดทางการเมืองโดยเฉพาะช่วงเวลานับแต่ต้นสัปดาห์นี้ ไปจนถึงปลายเดือน ซึ่งยังไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

แต่หลังจากไปเดินเตร็ดเตร่สดับตรับฟังการวิเคราะห์สถานการณ์ที่สร้างความตึงเครียดให้กับคนไทย ทั้งจากสื่อ อินฟลูเอนเซอร์ และ บรรดานักวิชาการจำนวนมาก กลับพบว่า พวกเขาดูสนุกสนานกับเรื่องเครียดๆ ที่จะเกิดขึ้น เหมือนว่า สิ่งเหล่านั้น ชวนให้เกิดความน่าขบขันมากกว่าจะเป็นเรื่องร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นกับอนาคตของประเทศ และคนไทย

ถ้าถามคนส่วนใหญ่ว่า คุณรู้สึกขำไหม หากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ถอดถอน นายเศรษฐา ทวีสิน ออกจากการเป็น นายกรัฐมนตรี ตามคำร้องของ 40 สว.ที่มีนัยสำคัญว่า อยากจะสนับสนุนให้กลุ่มอำนาจเก่าจากบ้านป่ารอยต่อขึ้นมามีอำนาจในการจัดตั้งรัฐบาล และ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน

หรือ ตลกไหม ถ้าจะยุติการเลือก สว.ชุดใหม่ที่ทำกันมาจนถึงระดับจังหวัดแล้ว และจะให้กลับไปหา สว.ชุดเก่าที่ก่อกำเนิดจากมดลูกเผด็จการทหารเข้ามาทำหน้าที่รักษาการแทน ไปจนถึงเรื่องสะใจของผู้คนจำนวนหนึ่งที่ อัยการสูงสุด มีกำหนดส่งตัว นายทักษิณ ชินวัตร ไปขึ้นศาลอาญาในคดีความผิดตามมาตรา 112 รวมถึง การยุบพรรคก้าวไกล คิดว่า คำตอบที่ได้จะเป็นอย่างไร?

ในความเป็นจริง ความคิดจะเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี หลังจากที่เขาสู้ทำงานหนักมาตลอด 10 เดือน แม้จะยังไม่เห็นความชัดเจนในผลผลิตของนโยบายที่คลอดออกมา แต่ความคิดจะเปลี่ยนผู้นำกลางสมรภูมิเดือด ก็สร้างผลกระทบอย่างมากให้กับประเทศไทย เมื่อทุกฝ่าย รวมทั้งต่างชาติ มองเห็นว่า การเมืองไทยไม่นิ่งพอจะทำให้การสร้างชาติใหม่ดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่องได้ 

...

พอๆ กับที่ไม่รู้ว่า จะขนเงินมาลงทุนตามคำเชื้อเชิญของรัฐบาลไทยทำไม ถ้ากลุ่มการเมืองเก่าของไทยยังเล่นการเมืองแบบน้ำเน่า และยังอยากแย่งอำนาจกลับคืน

ผลกระทบนี้เห็นได้เบื้องต้นจากดัชนีหุ้นที่ร่วงลงต่ำกว่า 17 จุดในวันแรกที่มีข่าวความตึงเครียดนี้ออกมา และร่วงลงต่อเนื่องจนเกือบจะหลุดระดับ 1,300 จุด หากผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ สร้างความตึงเครียดเพิ่มขึ้น ดัชนีหุ้นอาจหลุดแนวรับลงไปต่ำติดดินที่ระดับ 1,200 จุด หรือ ต่ำลงกว่านั้นได้อีก

อย่างไรก็ตาม จับสัญญาณจากท่าที และ คำสัมภาษณ์ ของ นายเศรษฐา ที่ว่าเขาจะไม่ยุบสภา ลาออก หรือ ใช้วิธีพิสดารเพื่อหนีไปให้พ้นจากความจริง ก็ค่อนข้างมั่นใจว่า นายเศรษฐา น่าจะยังคงอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพื่อบริหารประเทศต่อไป

นั่นหมายความว่า นัยสำคัญที่จะให้คนจาก “บ้านป่ารอยต่อ” สับขาขึ้นมาจัดตั้งรัฐบาล และ เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ แทน นายเศรษฐา จะไม่เกิดขึ้นแน่! 

เมื่อเกมพลิกกลับอีกด้าน การเลือก สว.ชุดใหม่ จะยังคงดำเนินต่อไปจนถึงการเลือกไต่ขึ้นสู่ระดับประเทศ ก่อนการประกาศรับรอง ของ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในต้นเดือน ก.ค.

และถ้าเรื่องราวดำเนินมาถึงจุดส้ินสุดความตึงเครียด นายทักษิณ ได้รับการประกันตัว ก็น่าจะแปลความได้ว่า พรรคเพื่อไทย ได้รับการเลือกให้เป็น “ผู้รอด” แล้ว ...ถึงเวลานั้น ฝ่ายอนุรักษ์ ก็ไม่ต้องพะวงกับ พรรคก้าวไกล อีกต่อไป

เรายังจับสัญญาณจากท่าทีแข็งกร้าวของนายทักษิณที่มีต่อ “คนในป่า” ได้ด้วยว่า เขาน่าจะกำความลับอะไรบางอย่างไว้เพื่อล้างแค้นคนที่ เซาะ กร่อน บ่อนทำลายเขาอยู่ตลอดเวลา

ทีนี้ลองทายกันดูสิว่า ระหว่างการเอา พรรคพลังประชารัฐ ที่มีอยู่ 36 เสียงออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล แล้วเอา พรรคประชาธิปัตย์ ที่มีอยู่ 21 เสียงมาแทน ในเงื่อนไขว่าต้องไม่มี นายชวน หลีกภัย, นายบัญญัติ บรรทัดฐาน, นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ และ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 

กับ การปลดปล่อยให้ พรรคพลังประชารัฐ กลายเป็นพรรค “อกแตก” ที่ฝั่งหนึ่งมีคนออกมาร่วมกับ พรรคเพื่อไทย กว่า 30 คน กับ อีกฝั่งที่จะคงเหลือไว้แต่เฉพาะคนแก่ กับบรรดาขุนพลอยพยัก ไว้เฝ้าป่าแค่ 2-3 คน 

อย่างไหนจะทำให้คนแก่ “อกแตกตาย” ได้มากกว่ากัน!!