เปิดประวัติ มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ผู้รอบรู้ด้านเศรษฐกิจ กับการตัดสินใจครั้งสำคัญ หนีตาย สูตรหาร 100 เข้า พปชร.ยอมผิดหลัก อุดมการณ์ทางการเมืองของตัวเอง ที่เคยประกาศไว้ ไม่ร่วมงานกับพรรคเผด็จการ  

พรรคพลังประชารัฐ เปิดตัว "มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์" ชัดเจนแล้วเตรียมมาร่วมงานด้วย ช่วยขับเคลื่อนงานเศรษฐกิจ ได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรคพลังประชารัฐ

โดย ยังอุบ จะมาเป็นหนึ่งในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ หรือไม่ ภายหลังพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ยอมรับ "พล.อ.ประยุทธ์ ไปแล้ว"

...

อย่างไรก็ตาม หนึ่งในเหตุผลที่ นายมิ่งขวัญ ตัดสินใจ ย้ายเข้าพรรคพลังประชารัฐ คาดว่ามาจาก สูตรหาร 100 ที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ทำให้เกิดปรากฏการณ์พรรคการเมืองขนาดเล็กหนีตายควบรวมพรรค 

ประวัติ มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์

ประวัติ มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ อดีตหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่ 

เริ่มจากทำงานเป็นพนักงานฝ่ายขาย กับบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ส ประเทศไทย จำกัด กระทั่งได้รับตำแหน่ง ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และยังเป็น เลขานุการมูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย

ต่อมา ในสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร นายมิ่งขวัญ มีโอกาสเข้าช่วยงาน นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีทางเศรษฐกิจ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้น โดยเป็นที่ปรึกษาเกี่ยวกับการท่องเที่ยว และเป็นผู้ริเริ่ม การประชาสัมพันธ์งาน เย็นทั่วหล้ามหาสงกรานต์, เทศกาลตรุษจีนไชนาทาวน์เยาวราช และเทศกาลดนตรีพัทยา เป็นต้น

จากนั้น นายมิ่งขวัญได้รับเลือก ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อสมท) โดยเริ่มงานจากการเข้าปฏิรูป สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 9 อสมท จากยุคเดิมที่เป็นแดนสนธยา กลายเป็น "สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ทีวี" จนนำไปสู่การแปรรูป อสมท จากองค์การภาครัฐ ไปเป็นบริษัทของรัฐ ภายใต้ชื่อ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)

เกิดรัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ. 2549 นายทักษิณ ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรี ออกประกาศ สถานการณ์ฉุกเฉินในเขต กทม. ผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ทางไกลจากต่างประเทศ ออกอากาศทางโมเดิร์นไนน์ทีวี เพื่อดำเนินการกับคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่รัฐประหารยังเป็นผลสำเร็จ มิ่งขวัญจึงลาออกจากตำแหน่ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ในวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2549

ปี 2550 พรรคพลังประชาชน ได้ทาบเป็น หัวหน้าคณะทำงานด้านเศรษฐกิจของพรรค และในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 นายมิ่งขวัญ ได้รับเลือกเป็น ส.ส.แบบสัดส่วน เขต 6 กรุงเทพมหานครและปริมณฑล และในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 นายมิ่งขวัญ เข้ารับตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในคณะรัฐมนตรีสมัคร

ต่อมา นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ปรับคณะรัฐมนตรี ในวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2551 ให้เขาดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมแทน จนพ้นจากตำแหน่ง หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้สมัครพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2551 และจากคำวินิจฉัยให้ยุบพรรคพลังประชาชนของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551 นายมิ่งขวัญ จึงย้ายไปสังกัดพรรคเพื่อไทย และได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่เป็นผู้นำในการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีในประเทศไทย พ.ศ. 2554 อีกทั้งยังเสนอตัวที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปอีกด้วย

เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2556 นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย และขอเว้นวรรคทางการเมือง แต่ยืนยันยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพรรค แม้ว่าความเห็นทางการเมืองของเขากับพรรคจะไม่ตรงกันบ้างแต่ไม่ได้มีความขัดแย้งกัน

จากนั้น นายมิ่งขวัญได้เข้าร่วมและดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่ เพื่อลงสมัครรับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทย เป็นการทั่วไป พ.ศ. 2562 และประกาศว่าจะไม่เข้าร่วมกับ "พรรคพลังประชารัฐ" เพราะอุดมการณ์ทางการเมืองต่างกัน

วันที่ 23 พฤษภาคม 2562 เขาประกาศขอลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่ สืบเนื่องมาจากตนและลูกพรรคมีอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกัน เพราะลูกพรรคไปหนุนฝ่ายรัฐบาลพปชร.แต่นายมิ่งขวัญ ยังไม่ลาออกจากความเป็น ส.ส.ต่อมาในการอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เขาประกาศลาออกจาก ส.ส. ในระหว่างการอภิปรายทั่วไปซักฟอกรัฐบาล

ถอดคำพูด “มิ่งขวัญ” เสียงสั่นลาออก ส.ส.กลางสภา เจอกันเลือกตั้งสมัยหน้า

วันที่ 17 ก.พ. 2565 นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเศรษฐกิจไทย ขึ้นอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 โดยจะขออภิปราย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นพิเศษ หลังดำรงตำแหน่งมาเกือบ 8 ปี เศรษฐกิจไทยตกต่ำมาโดยลำดับ ขณะที่วิสัยทัศน์และภาวะผู้นำที่ผ่านมา มีทั้งเพิ่มโรงรับจำนำแก้หนี้, น้ำท่วมให้ไปเลี้ยงปลา, สวดมนต์ไล่พายุ, ใช้รถทหารขนสินค้าแทนรถบรรทุก, สั่งทหารปลูกผักชี, แนะเลี้ยงไก่แก้จนบ้านละ 2 ตัว รวมถึงคนรวยวิ่งทางด่วน คนรายได้น้อยวิ่งทางปกติ

นอกจากนี้ ยังมีการบริหารงานที่ไร้ประสิทธิภาพ หนี้ครัวเรือนไทยพุ่งกว่า 15 ล้านล้านบาท หนี้สาธารณะประเทศทะลุ 9 ล้านล้านบาท บัตรคนจนมากขึ้น นั่นแปลว่าคนจนมากขึ้น น้ำมันแพง ขึ้นราคา 7 ครั้งในเดือน ม.ค. 2565 กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเกิดวิกฤติติดลบ 1.4 หมื่นล้านบาท ล่าสุด ครม. ลดจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 3 บาทต่อลิตรเป็นเวลา 3 เดือน แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กลับบอกว่าการลดจัดเก็บภาษีสรรพสามิตไม่ได้ทำให้ราคาน้ำมันไม่ได้ลดลง 3 บาทต่อลิตร

เกษตรกรรมเสียหาย การประมงไทยเจ๊งแบบหายนะ การบริหารเศรษฐกิจล้มเหลว ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจเอง การบริหารโควิด-19 ล้มเหลว ฉีดวัคซีนบูสต์เข็ม 3-4 เห็นชีวิตคนไทยเป็นอะไร ความเหลื่อมล้ำเอื้อประโยชน์นายทุน และคนไทยทั้งประเทศต้องได้รับโอกาสของชีวิตที่เท่าเทียม ไม่ใช่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

ในช่วงท้าย นายมิ่งขวัญ ได้กล่าวย้อนไปถึงจุดยืนของตัวเองว่าไม่สามารถทรยศสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน และตอนที่จะร่วมพรรคเศรษฐกิจใหม่ ทางพรรคเองก็ยืนยันว่าจะไม่สนับสนุนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ แต่เพราะเหตุใดจึงเปลี่ยนจุดยืน ตอนนี้เข้าใจคำว่า งูเห่า และลิงกินกล้วยอย่างชัดเจน จากนั้นพูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า

“2 ปีเศษผมไม่มีความสุขกับการทำงาน กราบขอบคุณประธานสภาฯ รองประธานสภาฯ ทั้ง 2 ท่าน ขอบคุณทุกคะแนนเสียง ประเทศไม่ต้องเสียงบประมาณ ผมเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ ผมลาออก ผมลาออกวันนี้เขาก็เลื่อนลำดับขึ้นมามีความสุขด้วยซ้ำ ผมขอยื่นใบลาออก ผมยอมที่จะสละความเป็น ส.ส. เพื่อให้มันจบ เพราะผมได้ขอให้พรรคเศรษฐกิจใหม่ขับผมออกจากพรรค เพราะอุดมการณ์ไม่ตรงกัน แต่ฝากข้อความถึง พล.อ.ประยุทธ์ หรือลูกน้องท่านไปทำอะไร เขาถึงเปลี่ยนจุดยืนและต้านกระแสสังคมอย่างนั้น

และสิ่งสุดท้ายที่จะฝากไปยังประชาชนไทยทุกท่าน ผมจะยังคงดำเนินกิจกรรมทางการเมือง จะใช้องค์ความรู้ความสามารถที่ผมมีอยู่ทำงานให้พ่อแม่พี่น้องประชาชน สิ่งที่สำคัญที่สุด ผมจะออกไปพิสูจน์ว่าแม้ผมไม่ได้เป็นรัฐบาล ความเหลื่อมล้ำจะถูกแก้ไขไหม โปรดติดตามก็แล้วกัน และผมก็จะไปเตรียมตัวสำหรับการเลือกตั้งสมัยต่อไปด้วย เราได้เจอกันแน่นอน”


นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานการประชุม ได้กล่าวขึ้นขอให้ นายมิ่งขวัญ คิดให้ละเอียดรอบคอบก่อนดีหรือไม่ โดย นายมิ่งขวัญ ตอบกลับว่า “ผมคิดมาแล้ว” พร้อมขอบคุณเพื่อน ส.ส. ก่อนจบการอภิปรายในฐานะ ส.ส. เป็นครั้งสุดท้ายในเวลา 17.25 น. โดยนายศุภชัย กล่าวว่าเสียดายคนมีคุณภาพได้ประกาศและยื่นหนังสือลาออก พร้อมขอให้โชคดี จากนั้นเพื่อน ส.ส. ได้ปรบมือให้กับนายมิ่งขวัญ ส่งท้าย.

ขณะที่ 6 ธ.ค. 65 นายดำรงค์ พิเดช พรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย ที่เพิ่งประกาศเปลี่ยนชื่อเป็น “โอกาสไทย” เมื่อไม่นานมานี้ และมีนายมิ่งขวัญ เป็นหัวหน้าพรรค ได้ยืนยันว่า นายมิ่งขวัญลาออกจากหัวหน้าพรรคโอกาสไทย เพื่อไปร่วมงานกับ พปชร. แล้ว