"ทิม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ โด่งดัง เป็นที่สนใจของผู้คนในโลกโซเชียลเพียงชั่วข้ามคืน  หลังขึ้นอภิปรายแถลงนโยบายรัฐบาลบิ๊กตู่ ภาค 2 ในประชุมสภาเมื่อ 25-26 ก.ค. ภายใต้การนำของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ แม้จบไปนานแล้ว แต่ผู้คนก็ยังจดจำ ลีลาการอภิปรายของนายพิธา ที่ลุกขึ้นอภิปราย นโยบายทางการเกษตรของรัฐบาล โดยเฉพาะเรื่องที่สร้างชื่อที่สุด คือเรื่อง ปัญหากระดุม 5 เม็ด 

ขนาด "บิ๊กป๊อก" พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ยังเอ่ยปากชม นายพิธาว่า ที่อภิปรายหลายเรื่องเป็นความคิดที่สร้างสรรค์ ทั้งเรื่องกลุ่มชาติพันธุ์, คนชายขอบ, ที่ดินทำกิน ซึ่งพูดได้เข้าประเด็นทั้งหมด ทั้งชมว่า ทำการบ้านมาดี

“ทิม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ผู้นี้แน่นอน หลายคนรู้จักเขาในฐานะนักธุรกิจหนุ่มรุ่นใหม่ ขณะอีกสถานะหนึ่งเขาก็เป็น นักการเมืองรุ่นใหม่ไฟแรงเช่นกัน ทีมข่าวเจาะประเด็นไทยรัฐออนไลน์ ได้ทดลองเก็บรวบรวมวิสัยทัศน์อันก้าวหน้าของเขามาให้อ่านกัน   

...

"เราขายข้าวเป็นหมื่นล้านตัน เราทำมากแต่ได้น้อย ในขณะที่ต่างชาติเขาทำน้อย แต่ได้มาก เขาสร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างภาพลักษณ์ สร้างความแตกต่าง จึงทำให้เขาทำน้อยได้มาก ในขณะที่ชาวนาบ้านเรา ซึ่งมี 48% ต้องมานั่งรอนโยบายจากรัฐว่า จะประกันราคาข้าวเท่าไร ดูเพื่อนบ้านอย่าง เวียดนาม หรืออินเดีย ว่าราคาเท่าไร เราเป็นคนรับราคาตลาดโลก ผมอยากให้เราเป็นคนตั้งราคาตลาดโลกบ้าง" 

"จากประสบการณ์ที่ผมเรียนมา จะเป็นผู้นำของโลกใบนี้ได้ ต้องเป็นสินค้าไฮเทค หรือไฮทัช การจะเป็นไฮทัช ก็ต้องสร้างมูลค่าของสินค้า อย่างมาเลเซีย เขาเป็นเจ้าแห่งน้ำมันปาล์ม จนสามารถกำหนดราคาน้ำมันปาล์มในตลาดโลกได้ /สหรัฐฯ เขาเป็นเจ้าน้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง เพราะเกษตรกรของเขาปลูกข้าวโพดได้มาก"

"รัฐบาลเขาจึงพยายามส่งเสริม หรือแม้แต่อิตาลี ก็พยายามสร้างมูลค่าเพิ่มให้น้ำมันมะกอก จนน้ำมันมะกอกกลายเป็นสินค้าไฮเอนด์ แล้วทำไมประเทศไทยซึ่งปลูกข้าวได้มาก จะเป็นเจ้าแห่งน้ำมันรำข้าวไม่ได้ ทั้งที่น้ำมันรำข้าวมีประโยชน์มากมายไม่แพ้น้ำมันมะกอก ในอนาคตหากเราจะแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคมเกษตรและสังคมเมือง เราต้องสร้างรายได้ให้เกษตรกรบ้านเราให้มีรายได้มากขึ้น เราต้องควบคุมอุปทานและสร้างอุปสงค์นั่นเอง" 

"พิธา" เคยให้สัมภาษณ์กับไทยรัฐ เรื่อง บริหารบริษัท ซีอีโอ อกริฟู้ด จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัว สามารถพลิกฟื้นบริษัทที่ติดลบ เป็นหนี้มหาศาล ให้กลายเป็นผู้ผลิตน้ำมันดิบจากรำข้าวรายใหญ่ของไทย เป็นผู้ส่งออกน้ำมันรำข้าวรายใหญ่ของโลก ในเวลาเพียง 5 เดือน

หลังคุณพ่อเสียชีวิตไป เขาก็เข้ามารับช่วงการบริหารธุรกิจต่อ เพราะบ่าข้างหนึ่งต้องรับผิดชอบครอบครัวในฐานะลูกคนโต ต้องดูแลครอบครัวและธุรกิจของที่บ้าน ที่เราไปกู้มาเป็นร้อยล้าน บ่าอีกข้างผมต้องรับภาระดูแลพนักงานของเรา ซึ่งมี 50-60 คน ไม่รวมครอบครัวของเขาอีก

อย่างแรกต้องมีสติ แล้วค่อยๆ คลายปมปัญหาของบริษัทออกทีละปม เริ่มแรกปัญหาเกิดจากเครื่องจักรไม่เดิน เครื่องจักรไม่พร้อมที่จะทำงาน อุณหภูมิร้อนเกินไปไม่ได้ เราเสียเงินวันละ 2 ล้าน จนเราเหลือเงินก้อนสุดท้าย 2 ล้านแล้ว พอดีเครื่องจักรก็ทำงาน ทำให้เราได้เห็นน้ำมันสีเขียว กลายเป็นน้ำมันสีทองในที่สุด พอเครื่องผลิตได้แล้ว ก็ต้องไปหาลูกค้า

ตอนนั้นบริษัทเรากู้เงินมา 100 ล้านบาทเพื่อการลงทุนระยะยาว เรายังไม่มีทุนหมุนเวียน ผมต้องไปกู้แบงก์ต่อเพิ่มอีก 70 ล้านบาท เพื่อซื้อรำข้าวจากโรงสี ซึ่งต้องใช้เงินสด เดินเข้าไปกู้แบงก์ ผมรู้อยู่แล้วว่า อย่างไรเขาต้องมองว่าเราเป็นเด็ก จึงต้องหาจุดแข็งของเด็กรุ่นใหม่ แต่โลกทุกวันนี้เป็นโลกของข้อมูล

"เวลาเพียง 5 เดือนก็สามารถฟื้นฟูธุรกิจ จากนั้นเราก็ทำกำไร ช่วงแรกกำไรไม่เท่าไร ไม่กี่ล้าน ยอดขายเพิ่มขึ้นมาร้อยล้าน และพันล้าน ตอนนี้เราส่งออกปีละเป็นพันล้านบาทแล้ว เราซื้อรำข้าวเพื่อผลิตวันละ 400 ตัน"

"พิธา" เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาที่นิวซีแลนด์ ปริญญาตรี คณะบริหารธุรกิจ การเงิน การธนาคาร ภาคภาษาอังกฤษ เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปริญญาโทใบแรก การเมืองการปกครอง สาขาการบริหารภาครัฐ ที่ John F. Kennedy School of Government มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และปริญญาโทใบที่สอง การบริหารธุกิจ Sloan, Massachusetts Institute of Technology (M.I.T.) สหรัฐอเมริกา

เขาเคยได้รับการจัดอันดับจากนิตยสาร CLEO ติด 1 ใน 50 หนุ่มหล่อในปี 2008 ทั้งยังเป็นอดีตสามีของ "ต่าย ชุติมา ทีปะนาถ" ดาราสาวจากภาพยนต์เรื่อง Seasons Change เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย และภาพยนตร์เรื่อง "หนีตามกาลิเลโอ" แม้ทั้งคู่จะหย่ากัน และมีเรื่องการขอดูแลบุตรสาวเพียงคนเดียวก่อนหน้านี้ แต่ทุกอย่างก็จบลงด้วยดี ต่างคนก็ต่างทำหน้าที่พ่อและแม่ของลูก และพิธาก็กลายเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวในปัจจุบัน  

สำหรับประวัติของ "ทิม พิธา" เกิดเมื่อวันที่ 5 ก.ย.2524 ปัจจุบันอายุ 38 ปี เป็นบุตรชายคนโตของนายพงษ์ศักดิ์ ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งเสียชีวิตแล้ว และนางลิลฎา ลิ้มเจริญรัตน์ ส่วนน้องชายคือ เทียน นายภาษิณ ลิ้มเจริญรัตน์