บันทึกไว้ เช้าวันที่ 8 มีนาคม 2567 จังหวัดเชียงใหม่ มีค่าฝุ่น PM 2.5 สูงติดอันดับ 2 ของโลก มีค่าฝุ่น PM 2.5 อยู่ในระดับสีแดง วัดได้ “183 AQI US” มีผลกระทบต่อสุขภาพในระดับสูงสุด นอกจากนี้แล้ว...จุดความร้อนมีมาก “เผา” กันทั้งภาค รวมทั้ง ประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงด้วย
“เชียงใหม่” โมเดลแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 เกิดอะไรขึ้น...? อาจารย์ สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อม ตั้งคำถาม
มุมมองหนึ่งสะท้อนไว้ว่า “ปัญหาฝุ่น...ปัญหาหมอกควัน” ไม่ใช่เป็นปัญหาท้องถิ่นอีกต่อไปแล้วและอาจไม่ใช่ปัญหาภูมิภาคด้วยซ้ำ มันน่าจะเป็นปัญหาฝุ่นและละอองน้ำสะสมในบรรยากาศที่ลอยไปตามกระแสลมในแถบเส้นศูนย์สูตร ที่กำลังคุกคามชีวิตของสิ่งที่มีชีวิต
จริงๆแล้วการสะสมนี้ก็เกิดจากฝีมือ... “มนุษย์”
ข้อมูลที่น่าจะนำมาวิเคราะห์ก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างฮอตสปอตในประเทศและในประเทศเพื่อนบ้านกับระยะเวลาและค่า AQIหาก..AQI ยังสูง ขณะที่จำนวนฮอตสปอตลดลง ก็แสดงว่าบัดนี้... “ฝุ่น” เป็นภัยของมนุษยชาติจริงๆ
...
ตอกย้ำประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อมเกิดจากฝีมือมนุษย์ อาจารย์สนธิ พุ่งเป้าต่อเนื่องไปที่ประเด็นการกำจัด “ขยะ”...อะไรทำให้ประเทศไทยมีแต่ “หลุมขยะ” และ “เตาเผาขยะ”
ข้อแรก...กฎกระทรวงการจัดการมูลฝอยทั่วไป พ.ศ.2560 ตามพ.ร.บ.การสาธารณสุข พ.ศ.2535 หมวด 2 การจัดการมูลฝอยทั่วไปกำหนดในข้อ 5 ...“เพื่อประโยชน์การเก็บมูลฝอยทั่วไปให้ผู้ซึ่งก่อให้เกิดมูลฝอยคัดแยกมูลฝอยที่อย่างน้อยต้องคัดแยกเป็นมูลฝอยทั่วไปและมูลฝอยที่เป็นพิษหรืออันตรายจากชุมชนโดยให้คัดแยกมูลฝอยนำกลับมาใช้ใหม่ออกจากมูลฝอยทั่วไป ด้วยราชการส่วนท้องถิ่นอาจออกข้อกำหนดของท้องถิ่นกำหนดให้มีการคัดแยกมูลฝอยอินทรีย์หรือมูลฝอยประเภทอื่นออกจากมูลฝอยทั่วไปได้”
ข้อสอง...กฎหมายกำหนดชัดเจนว่า ท้องถิ่นต้องกำหนดให้บ้านทุกหลังหรือร้านค้าทุกแห่งต้องทำการแยกขยะทั่วไป, ขยะที่นำกลับมาใช้ใหม่และขยะพิษออกจากกัน และท้องถิ่นนำขยะที่แยกแล้วไปจัดการต่อไป
รวมทั้งควรต้องออกข้อบัญญัติให้ทุกแหล่งกำเนิดทำการคัดแยกขยะที่ต้นทาง....
แต่ข้อเท็จจริงคือ ไม่มีการกระทำดังกล่าว ท้องถิ่นรวมทั้ง กทม.ยังชอบเก็บขนขยะแบบรวมและนำไปฝังกลบหรือเอาไปเผาผลิตไฟฟ้าก่อให้เกิดปัญหามลพิษในหลายพื้นที่
ปัจจุบันมีกองขยะแบบเทกองเป็นภูเขาทั่วประเทศเกือบ 2,000แห่ง สิ่งที่แปลกก็คือ มีกฎหมายออกมาอย่างชัดเจนให้แยกขยะแต่ราชการส่วนท้องถิ่นก็ไม่ทำตาม หน่วยงานที่ออกกฎหมายตาม พ.ร.บ.การสาธารณสุข พ.ศ.2535 คือ กรมอนามัยโดยคณะกรรมการสาธารณสุขก็ไม่เคยสนใจ เมื่อออกกฎกระทรวงมาแล้วก็ทิ้งขว้าง ไม่ติดตาม ไม่ตรวจสอบว่า มีหน่วยงานใดทำหรือไม่...อย่างนี้เสียของ
ทุกวันนี้ที่แปลกก็คือ แทนที่จะเน้นการลดขยะที่ต้นทางด้วยการ Reduce...ลด Reuse...ใช้ซ้ำ และ Recycle...รีไซเคิล แต่กลับไปเน้นกำจัดที่ปลายทางทั้งการเผาและการฝังกลบ ซึ่งมีทั้งผลประโยชน์และก่อมลพิษ รวมทั้งยังเป็นสาเหตุให้โลกร้อนอีกด้วย
ข้อสาม...หากดูประเทศญี่ปุ่นซึ่งต้นแบบการจัดการสิ่งแวดล้อมในเมืองย่านการค้าของประเทศญี่ปุ่นจะไม่มีถังขยะตั้งอยู่เลย ทุกคนต้องเอาขยะกลับไปทิ้งที่บ้าน ยกเว้นบริเวณสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินและสถานที่ท่องเที่ยวเท่านั้น จึงจะมีถังที่แยกขยะติดป้ายชัดเจน ซึ่งส่วนใหญ่มี 3 ประเภทคือขยะเผาได้, เผาไม่ได้, รีไซเคิลได้
...
หากทิ้งขยะบนพื้นจะถูกกล้องถ่ายไว้และมีระบบติดตามตัวให้ไปเสียเงินค่าปรับราคาแพง ร้านค้าทุกแห่งทั้งสะดวกซื้อและตลาดทั่วไปยังแจกถุงพลาสติกแก่ลูกค้าทุกคนถ้าต้องการ
ข้อสี่...เนื่องจากญี่ปุ่นมีกฎหมายบังคับให้ทุกครัวเรือนและร้านค้าต้องแยกขยะก่อนให้เทศบาลมาเก็บขน ทุกแหล่งกำเนิดจะแยกขยะตามข้อกฎหมาย โดยเทศบาลจะนำเศษพลาสติก...ขยะที่เผาได้ไปเป็นเชื้อเพลิงของโรงงานเผาขยะผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ (มากกว่า 50 เมกะวัตต์ ไม่ใช่แค่ไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ แบบบ้านเรา)
โรงไฟฟ้าดังกล่าวจะเป็นของรัฐบาลซึ่งจะมีระบบป้องกันมลพิษอย่างดีเยี่ยม ส่วนขยะพลาสติกจะส่งเข้าโรงงานรีไซเคิล ทำการล้างทำความสะอาดอย่างดีและแยกออกมาเป็นพลาสติกรีไซเคิล และนำส่งไปเข้าโรงงานผลิตพลาสติกในประเทศ รวมทั้งยังส่งออกไปขายประเทศอื่นด้วย
น่าสนใจว่า...ทุกวันนี้ “ญี่ปุ่น” ส่งออกมายัง “ประเทศไทย” เป็นอันดับ 1
...
มนุษย์สร้าง “มลพิษ” เป็นสาเหตุให้ “โลกร้อน”...ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเราๆท่านๆต้องเจอกับสภาพอากาศร้อนอย่างโหด วัดด้วย “ค่าดัชนีความร้อน” ที่บอกถึงอันตรายต่อสุขภาพชัดเจนมาก
กรมอุตุนิยมวิทยาออกคำเตือน (6 มี.ค.67) จะมีค่าดัชนีความร้อนสูงสุดที่จังหวัดชลบุรีที่ 51.4 องศาฯ อยู่ในเกณฑ์ระดับอันตราย (สีส้ม) และ กทม.จะมีค่าที่ 48.1 (สีส้ม) และวันอื่นๆมีค่าสูงถึงเดือนเมษายน
ถัดมา...ดัชนีความร้อน (Heat Index) คือ อุณหภูมิของร่างกายที่เรารู้สึก เป็นไปตามความสัมพันธ์กันระหว่างอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศ ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่มนุษย์รู้สึกได้ว่าบรรยากาศในขณะนั้นร้อนหรือเย็นแค่ไหน ซึ่ง...จะไม่ตรงกันกับอุณหภูมิที่เกิดขึ้นจริงในบรรยากาศ
แต่...เป็นอุณหภูมิที่รวมถึงความชื้นสัมพัทธ์ของอากาศด้วย เช่นหากอุณหภูมิในบรรยากาศมีค่า 38.0 องศาเซลเซียส และมีความชื้นสัมพัทธ์อยู่ที่ 70% ค่าดัชนีความร้อนดังกล่าวเราจะรู้สึกว่าอยู่ในอุณหภูมิถึง 62 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นความร้อนที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก (ระดับสีแดง)
ให้รู้ต่อไปอีกว่า...การเตือนภัยต่อสุขภาพของค่าดัชนีความร้อนกรณีที่ค่าดัชนีความร้อนมีค่า 27–32 องศาฯ (สีเขียว) อาจจะเกิดอาการอ่อนล้า อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ วิงเวียน คลื่นไส้ อาเจียนได้ หากมีกิจกรรมกลางแจ้งอาจเกิดอาการปวดแสบปวดร้อนเพิ่มขึ้นได้
32–41 องศาฯ (สีเหลือง) เกิดอาการตะคริว เพลียแดด หากสัมผัสความร้อนเป็นเวลานานอาจเกิดอาการเพลียแดดได้ (Heat Exhaustion) ...41–54 องศาฯ (สีส้ม) เกิดอาการปวดเกร็ง เพลียแดด หน้ามืด หากทำกิจกรรมต่อเนื่องกลางแดดเป็นเวลานานอาจเสี่ยงต่อการเกิดอาการลมแดด (Heat Stroke) ได้
...
กรณี 54 องศาฯขึ้นไป (สีแดง) อาจเกิดสภาวะลมแดดหรือHeat Stroke ได้ตลอดเวลา และมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต อาจารย์สนธิ ย้ำว่า ช่วงอากาศร้อนจัด ไม่ควรตากแดดในช่วงเวลากลางวันจนถึงบ่าย 3 โมง...ควรอยู่ในที่ร่มเท่านั้น ดื่มน้ำบ่อยๆ ออกกำลังในร่มช่วงนี้ดีที่สุด
อาชีพที่เสี่ยงกับโรคร้อนตับแลบจำเป็นต้องรู้ ปีนี้ช่วงที่อากาศร้อนที่สุด...อาจจะมีอุณหภูมิสูงถึง 45 องศาฯ...โรคที่จะเกิดเมื่ออยู่ในสถานที่อากาศร้อนจัดที่ต้องระวัง ได้แก่ โรคลมแดด, โรคเพลียแดด, ตะคริว,โรคแดดเผา และโรคผดร้อน โดยเฉพาะโรคลมแดดเป็นภาวะวิกฤติ...หากได้รับการรักษาที่ล่าช้าก็มีอันตรายถึงตาย
อาชีพที่ควรระวัง...การก่อสร้างกลางแจ้งที่ต้องตากแดด พ่อค้าแม่ค้าริมถนน คนเก็บขยะ ชาวไร่ชาวนา ผู้ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ ผู้ออกกำลังกายกลางแจ้ง ขอทานรินถนน ฯลฯ อากาศร้อนอย่างรุนแรงในช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคมปีนี้ “Extreme heat”...ร้อนสุดขั้ว...ระวังตัวกันด้วยนะครับ.
คลิกอ่านคอลัมน์ "สกู๊ปหน้า 1" เพิ่มเติม