• ข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสสิ้นสุดลงแล้วในวันศุกร์ที่ 1 ธ.ค. หลังพักรบกันมานาน 7 วัน โดยไม่มีการต่อสัญญาเพิ่มเติม

  • ฝ่ายอิสราเอลเปิดฉากโจมตีในฉนวนกาซารอบใหม่ทันทีที่ข้อตกลงหมดอายุ โดยอ้างว่าฮามาสเป็นฝ่ายที่ผิดสัญญาและโจมตีพวกเขาก่อน แต่ฝ่ายฮามาสปฏิเสธ

  • การโจมตีครั้งใหม่ของอิสราเอลอาจคืบคลานไปถึงภาคใต้ของกาซา ที่มีประชาชนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น ซึ่งอาจทำให้เกิดการนองเลือดมากกว่าที่ผ่านมา

การหยุดยิงระหว่างอิสราเอลกับฮามาส ซึ่งขยายออกไปจาก 4 วันเป็น 7 วัน สิ้นสุดลงแล้วในวันศุกร์ที่ 1 ธ.ค. 2566 โดยไม่มีการยืดอายุข้อตกลงออกไปอีก หลังจากการเจรจาดำเนินมาถึงทางตัน อิสราเอลเปิดฉากโจมตีเข้าใส่ฉนวนกาซาอีกครั้ง พร้อมกล่าวหากลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ว่า ละเมิดข้อตกลงด้วยการโจมตีพวกเขาก่อน

สงครามอิสราเอล-ฮามาส ที่สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างในฉนวนกาซา และทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 15,000 ศพ ได้หยุดพักเป็นเวลาสั้นๆ หลังดำเนินต่อเนื่องมาเกือบ 8 สัปดาห์ จากข้อตกลงหยุดยิงที่หลายประเทศมาเป็นตัวกลางเจรจา มีตัวประกันนับร้อยคนได้รับการปล่อยตัว สิ่งของช่วยเหลือถูกส่งเข้าไปช่วยชาวกาซาได้มากขึ้น

แต่อิสราเอลแสดงท่าทีชัดเจนมาตลอดว่า พวกเขาจะทำลายกลุ่มฮามาสให้สิ้นซาก โดยนักวิเคราะห์มองว่า การต่อสู้ที่เกิดขึ้นหลังจากนี้จะดุเดือดกว่าช่วงก่อนพักรบ ขณะที่สหรัฐฯ ออกมาปรามรัฐบาลยิวให้ป้องกันความเสียหายต่อชาวกาซาให้มากขึ้นกว่าเดิม แต่อิสราเอลจะทำตามหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ขณะที่นักวิเคราะห์กังวลว่า หากการต่อสู้คืบคลานไปถึงภาคใต้ของฉนวนกาซา ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นอาจมากกว่าที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นพื้นที่มีผู้คนอาศัยอยู่อย่างแออัด หลังคนนับล้านต้องอพยพลงมาจากแดนเหนือ เพื่อหนีปฏิบัติการโจมตีภาคพื้นดินของอิสราเอล

...

ข้อตกลงหยุดยิงสิ้นสุด

กลุ่มฮามาสพยายามเจรจากับอิสราเอลเพื่อขอขยายเวลาหยุดยิงออกไปอีก ในวันพฤหัสบดีที่ 30 พ.ย. ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการพักรบ อย่างไรก็ตาม พวกเขาอ้างว่า กำลังประสบปัญหาในการหาตำแหน่งของตัวประกันเด็กและผู้หญิงให้ถึง 10 คน ซึ่งเป็นเงื่อนไขเพื่อขยายเวลาสัญญาเพิ่มอีก 1 วัน ทำให้การเจรจาไม่คืบหน้า

ต่อมาวันศุกร์ เพียง 1 ชั่วโมงก่อนที่การหยุดยิงจะสิ้นสุดลงในเวลา 7.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) กองกำลังป้องกันอิสราเอล (IDF) ก็รายงานว่ามีเสียงไซเรนเตือนภัยดังขึ้นที่ชุมชนใกล้ฉนวนกาซา และพวกเขาก็สามารถยิงสกัดจรวดที่ถูกปล่อยออกมาจากดินแดนเล็กๆ แห่งนี้ได้สำเร็จ

1 ชั่วโมงต่อมา กองทัพอิสราเอลออกมายืนยันว่า การต่อสู้ในฉนวนกาซากลับมาเริ่มขึ้นอีกครั้งแล้ว โดยพวกเขาส่งเครื่องบินรบโจมตีเป้าหมายหลายจุดในดินแดนแห่งนี้ พร้อมกล่าวหาว่า กลุ่มฮามาสละเมิดเงื่อนไขในข้อตกลง

ไม่นานหลังจากนั้น นายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู แห่งอิสราเอล ก็ออกมาบอกว่า ฮามาสทำตามสัญญาที่ว่าจะปล่อยตัวประกันหญิงทุกคนในวันนี้ (วันศุกร์) ไม่ได้ และยิงจรวดเข้าใส่พลเมืองอิสราเอล

ด้านกลุ่มฮามาสกล่าวโทษอิสราเอลว่า เป็นฝ่ายเริ่มการต่อสู้ก่อน และว่า รัฐบาลยิวปฏิเสธเงื่อนไขทุกอย่างที่พวกเขาเสนอเพื่อแลกเปลี่ยนกับตัวประกันคนอื่นๆ “ผู้รุกรานตัดสินใจไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะเริ่มการรุกรานอย่างไร้ความสำนึกใหม่อีกครั้ง” ฮามาสยังโทษ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่า เป็นผู้มอบไฟเขียวให้อิสราเอลโจมตีสานต่ออาชญากรรมในกาซา

แต่ท่ามกลางสถานการณ์ที่เลวร้ายลง กระทรวงต่างประเทศของกาตาร์ยืนยันว่า การเจรจาระหว่างอิสราเอลกับฮามาสยังคงดำเนินต่อไป โดยมีพวกเขาและอียิปต์เป็นตัวกลางเจรจา เพื่อกลับไปหยุดยิงให้ได้อีกครั้ง แม้จะเริ่มมีเสียงเรียกร้องจากเจ้าหน้าที่อิสราเอลให้ยกเลิกการเจรจาแล้วก็ตาม

ภาคใต้กาซาตกเป็นเป้าหมาย

กองทัพอิสราเอลเปิดเผยว่า พวกเขาโจมตีเป้าหมายในฉนวนกาซามากว่า 200 จุดนับตั้งแต่ 7.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น รวมถึงบางพื้นที่ในภาคใต้ ซึ่งนายเบนนี แกนต์ซ สมาชิกคณะรัฐมนตรีสงครามและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอิสราเอล กล่าวว่า พวกเขาพร้อมขยายกรอบการทำงาน เพื่อพาตัวประกันที่เหลือกลับบ้านแล้ว

IDF บอกด้วยว่า มีการจัดทำแผนที่ฉนวนกาซาใหม่โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็นมากกว่า 2,000 เขต รวมถึง ‘เขตอพยพ’ เพื่อลดความสูญเสียต่อประชาชนในตอนที่พวกเขาโจมตีทางอากาศในพื้นที่พลเรือน โดยเมื่อช่วงเช้าวันศุกร์ IDF หย่อนใบปลิวจำนวนมากลงสู่หลายเมืองทางตอนใต้ของกาซา รวมถึงเมืองใหญ่ที่สุดอย่าง ข่านยูนิส เพื่อเตือนให้ประชาชนอพยพ

ใบปลิวของ IDF ระบุชื่อพื้นที่ 4 แห่ง และบอกให้ชาวกาซาไปหลบภัยที่เมืองราฟาห์ทันที พร้อมแนบคิวอาร์โค้ดสำหรับดูแผนที่ใหม่ของพวกเขา แต่โครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้าและการสื่อสารในกาซาเสียหายอย่างหนักจากการโจมตี ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและพลังงานได้ จึงยังไม่แน่ชัดว่าประชาชนจะรู้ได้อย่างไรว่าเขตใดเป็นที่ปลอดภัย

ด้านกระทรวงสาธารณสุขในฉนวนกาซา ซึ่งบริหารโดยกลุ่มฮามาส ออกมาอ้างว่า มีประชาชนเสียชีวิตไปแล้วอย่างน้อย 178 ศพ นับตั้งแต่กองทัพอิสราเอลเริ่มการโจมตีในฉนวนกาซาอีกครั้งในวันศุกร์ โดยผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก และมีผู้ได้รับบาดเจ็บในการโจมตี 589 ราย

...

แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ
แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ

หวั่นนองเลือดมากกว่าเดิม

การเสียชีวิตจำนวนมากของประชาชนร่วม 15,000 คน ในฉนวนกาซา และมีผู้พลัดถิ่นอีกกว่า 1.8 ล้านคน ส่งผลให้สหรัฐฯ ซึ่งกำลังเผชิญเสียงตำหนิจากหลายฝ่ายทั่วโลก ต้องออกมาปรามอิสราเอลให้หลีกเลี่ยงการทำให้มีพลเรือนเสียชีวิตจำนวนมากในการทำสงครามขั้นถัดไป

เมื่อวันพฤหัสบดี นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ เพิ่งเข้าพบกับเจ้าหน้าที่อิสราเอล เพื่อกล่าวย้ำว่า อิสราเอลต้องมีแผนรับรองความปลอดภัยของพลเรือน และหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการพลัดถิ่นจำนวนมาก หรือสร้างความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เช่น โรงพยาบาล, สถานีไฟฟ้า และระบบน้ำประปา

แต่อิสราเอลจะทำตามหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งนายแฟรงก์ โลเวนสตีน อดีตทูตพิเศษในการเจรจาสันติภาพระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ ในยุครัฐบาลโอบามา กล่าวว่า สิ่งนี้จะเป็นตัวบ่งชี้ว่า สหรัฐฯ มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของอิสราเอลมากแค่ไหน

นักวิเคราะห์กำลังกังวลว่า หากอิสราเอลเปิดฉากโจมตีในภาคใต้ของกาซา จะทำให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตมากกว่าการต่อสู้ก่อนช่วงพักรบเสียอีก

นายริอัด คาห์วาจี ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของสถาบันเพื่อวิเคราะห์การทหารในตะวันออกใกล้และอ่าวอาหรับ ซึ่งมีสำนักงานในดูไบ กล่าวว่า ภาคใต้ของกาซามีประชากรหนาแน่นมาก “พื้นที่นี้ถูกกำหนดเป็นพื้นที่ปลอดภัย และอิสราเอลก็ให้ชาวปาเลสไตน์เกือบล้านคน ที่อาศัยอยู่ทางเหนืออพยพลงมา เพื่อปูทางสู่ปฏิบัติการทางทหารในแดนเหนือ ทั้งที่ยังมีการทิ้งระเบิดโจมตีในภาคใต้อยู่”

ตอนนี้ยังไม่ชัดเจนว่า ปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลในภาคใต้ของกาซาจะดำเนินไปในรูปแบบใด อิสราเอลการใช้การโจมตีทางอากาศเพื่อรักษาชีวิตทหาร แต่เสี่ยงทำให้ประชาชนโดนลูกหลง หรือใช้ปฏิบัติการภาคพื้นดินเป็นหลัก เพื่อลดความสูญเสียต่อพลเรือน แลกกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของทหารฝ่ายตัวเอง

แต่หากพวกเขายังคงทำให้เกิดภาพอาคารถูกทำลาย โดยมีศพเด็กทารกและผู้หญิงที่ถูกสังหารต้องถูกขุดขึ้นมาจากซากตึกอีกครั้ง พวกเขาอาจสูญเสียการสนับสนุนจากชาติตะวันตกไป





ผู้เขียน : ทิตชนม์ สว่างศรี

ที่มา : bbccnn

...