- นายหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศของจีน แถลงแสดงจุดยืนที่ชัดเจนเป็นครั้งแรกระหว่างการประชุมประจำปีสภาประชาชนแห่งชาติจีน ว่าจีนจะเป็นตัวกลางในการเจรจาระหว่างรัสเซียและยูเครน
- จีนและรัสเซียมีความสัมพันธ์อันดีกันมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะการจับมือกันเพื่อถ่วงดุลอำนาจของมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ วิกฤตการณ์ความขัดแย้งระหว่างยูเครนกับรัสเซียครั้งนี้จึงนับว่าท้าทายจีนในหลายด้าน
- จีนยังเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของยูเครน การรักษาความสัมพันธ์กับรัฐบาลยูเครนเอาไว้จึงเป็นเรื่องสำคัญเช่นเดียวกัน ส่งผลให้การวางสถานะของจีนต่อเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเรื่องที่ยากลำบากไม่น้อย แต่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าระหว่างความมั่นคงและเศรษฐกิจ จีนคงเอนเอียงไปยืนฝั่งรัสเซียมากกว่า
เมื่อเดือนที่แล้ว ประธานาธิบดีสี จิ้น ผิงของจีน เพิ่งประกาศ ความสัมพันธ์แบบไม่มีข้อจำกัดกับรัสเซียในระหว่างที่นายวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย เดินทางไปเยือนกรุงปักกิ่งเพื่อร่วมพิธีเปิดโอลิมปิกฤดูหนาว โดยหลังจากที่การแข่งขันปิดฉากลงไม่กี่วัน รัสเซียก็เปิดปฏิบัติการบุกเข้าโจมตียูเครนทันที
ในช่วงแรกของปฏิบัติการโจมตี จีนไม่ได้มีการแสดงท่าทีที่ชัดเจนออกมามากนักโดยไม่มีการประณาม หรือเห็นดีเห็นงาม กับการกระทำของรัสเซีย รวมทั้งหลีกเลี่ยงการใช้คำว่าการรุกราน กับปฏิบัติการในครั้งนี้ โดยระบุเพียงว่า จีนจะไม่เข้าไปแทรกแซงกับกิจการภายในของประเทศอื่นๆ ซึ่งเป็นไปตามหลักการของนโยบายต่างประเทศของจีนอยู่แล้ว
...
จนกระทั่งในสัปดาห์นี้ จีนกลับออกมาแสดงท่าทีที่ชัดเจนเป็นครั้งแรก โดยนายหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศของจีน แถลงแสดงจุดยืนระหว่างการประชุมประจำปีสภาประชาชนแห่งชาติจีน ว่าจะเป็นตัวกลางในการเจรจาเพื่อยุติสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน และเตรียมพร้อมให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมต่อยูเครน โดยจีนยังแสดงความรู้สึกเสียใจกับการเคลื่อนไหวทางทหาร และรู้สึกเป็นห่วงความปลอดภัยของพลเรือน แต่ก็ยังคงย้ำความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างจีนและรัสเซียเช่นเดิม
แม้แต่ยูเครนเองก็ยังดูเหมือนว่าจะมีความพยายามที่จะผลักดันให้จีนมามีบทบาทในการช่วยเจรจาสันติภาพในครั้งนี้ ท่ามกลางคำถามมากมายจากบรรดาผู้เชี่ยวชาญว่าจีนมีความจริงใจหรือเต็มใจเพียงใดที่จะทำหน้าที่ดังกล่าว อย่างพอล เฮนเล อดีตที่ปรึกษาด้านจีน ของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช และบารัค โอบามา ระบุว่า จีนอาจจะหวังที่จะแสดงภาพลักษณ์ใหม่ ที่หักล้างภาพจำว่าจีนหนุนรัสเซียแต่เพียงอย่างเดียว แต่การจะกู้ภาพลักษณ์กลับคืนมาคงไม่สามารถทำได้เพียงแค่การออกมาเรียกร้องให้ทุกฝ่ายอดทนอดกลั้น และออกมาเจรจาเท่านั้น แต่ต้องมีการลงมือทำอะไรมากกว่านี้ แต่เขาเชื่อว่าจีนคงไม่ได้เตรียมการที่จะทำอะไรแบบนั้น และคงไม่ส่งเจ้าหน้าที่ของตัวเองเข้าไปในพื้นที่สู้รบ
ขณะที่ซอง มิน ซุน อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีใต้ระบุว่า จีนกับรัสเซียมีผลประโยชน์ร่วมกันหลายด้าน และตัวของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินเองก็เชื่อคำพูดของผู้นำจีนไม่น้อย ดังนั้นไม่น่าจะเสียหายหากชาติตะวันตกจะโน้มน้าวจีนให้เห็นแก่ผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการที่สงครามยุติลง และทำหน้าที่เข้ามาเป็นตัวกลางในการเจรจาระหว่างรัสเซียและยูเครนเพื่อให้การสู้รบครั้งนี้จบลงโดยเร็ว
หลายฝ่ายเคยประหลาดใจกับท่าทีของจีนมาแล้ว เมื่อจีนเป็นหนึ่งใน 34 ชาติที่งดออกเสียง ในการโหวตลงมติข้อตกลงการแก้ไขปัญหารัสเซียบุกรุกยูเครน ในที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ทั้งๆ ที่จีนน่าจะออกเสียงสนับสนุนการกระทำของรัสเซีย จนนักวิเคราะห์บางส่วนมองไปว่า หรือจีนจะเปลี่ยนนโยบาย บ้างก็ว่านี่คือสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่า จีนพยายามที่จะสร้างความสมดุลระหว่างความเคารพในอธิปไตยของยูเครน พร้อมๆ กับยอมรับในความกังวลต่อความมั่นคงของรัสเซียไปพร้อมๆ กัน
...
นายหวัง อี้ ยังระบุด้วยว่า ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับรัสเซีย แยกต่างหากจากความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับยุโรป รวมทั้งความสัมพันธ์ของกรุงปักกิ่งกับไต้หวันก็ไม่ได้เหมือนกับความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน โดยเรื่องของจีนกับไต้หวันยังคงเป็นเรื่องของกิจการภายในประเทศของจีนเท่านั้น
นับตั้งแต่นายสี จิ้นผิง ก้าวขึ้นสู่ผู้นำจีนเป็นเวลาเกือบทศวรรษ เขาได้รับแรงหนุนจากประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ซึ่งมีจุดประสงค์ร่วมกันในการรับมือกับสหรัฐอเมริกาตลอดมา แต่สงครามระหว่างยูเครนและรัสเซียในครั้งนี้จะนับเป็นบททดสอบครั้งสำคัญ ว่าความสัมพันธ์ของจีนและรัสเซียจะยังคงแน่นแฟ้นดังเดิม หรือมีอะไรเปลี่ยนไป และที่สำคัญจีนจะเป็นตัวกลางและนำพาไปสู่การยุติสงครามครั้งนี้ได้จริงหรือไม่ ยังคงต้องจับตากันต่อไป.
ผู้เขียน : อาจุมม่าโอปอล
ที่มา : บีบีซี , ซีเอ็นบีซี , เอฟทีดอทคอม