"เยอร์เกน คลอปป์" (Jurgen Klopp) ความสำเร็จ ถ้วยรางวัล ความมั่งคั่ง และ 9 ปี กับ สโมรสรลิเวอร์พูล...คุณเคยรู้สึกไหมว่า? ไม่รู้จะกล่าวคำพูดใด จึงจะสามารถแทนความรู้สึกทั้งหมดที่กำลังเกิดขึ้นหลังการอำลาดี หากคุณ กำลังคิดอะไรแบบนี้ทั้ง คุณ และเรา คือพวกเดียวกันเพราะพวกเราคือ.... SCOUSER! I’m running out of energy การกล่าวอำลาของชายที่เข้ามาทำหน้าที่กอบกู้อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ในอดีต ซึ่งร้างราจากความสำเร็จมาเนิ่นนานถึง 30 ปี ที่มีชื่อว่า "เยอร์เกน คลอปป์" (Jurgen Klopp) หนุ่มใหญ่ชาวเยอรมนี วัย 56 ปี ปัจจัยอะไรที่ทำให้ เยอร์เกน คลอปป์ หมดแล้วซึ่งพลัง? ผมทำหน้าที่นี้ (ผู้จัดการทีมฟุตบอล) มาเนิ่นนานถึง 24 ปี และได้ลงทุนลงแรงไปกับทุกสิ่งทุกอย่างที่มี ซึ่งที่ผ่านมาผมก็ทำแบบนั้น และมันก็ไม่เคยมีปัญหา คุณต้องเป็นเวอร์ชันที่ดีที่สุดของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสโมสรที่มีชื่อเสียงอย่างลิเวอร์พูล มันจึงทำให้ผมจะทำเพียงครึ่งๆ กลางๆ ไม่ได้ ไม่ได้อย่างเด็ดขาด ผมเป็นตัวของตัวเอง และที่ผมอยู่ ก็เพราะรู้ว่าต้องทำอย่างไร แน่นอนมันย่อมมีทั้งดีและเลว แต่ในเมื่อทักษะการบริหารจัดการทีมของผมมีพื้นฐานมาจากพลังงานและอารมณ์สำหรับการนำพาผู้คน แต่ถ้าหากผมไม่สามารถทำมันได้อีกต่อไป...ก็ควรหยุดมันซะ มันไม่เคยอยู่ในความคิดของผมเลย (การลาออก) เพราะตอนต่อสัญญาฉบับใหม่กับลิเวอร์พูล ผมมั่นใจ 100% ว่าจะอยู่จนถึงปี 2026 แต่ผมตัดสินใจพลาดไป ผมประเมินมันต่ำเกินไปเพราะผมคิดว่า พลังงานของผมจะไม่มีที่สิ้นสุดแต่ ณ เวลามันไม่ใช่แล้ว แล้วก่อนจะหมดพลังงาน.... Mr.Normal One เริ่มต้นการบูรณะแอนฟิลด์อย่างไร? 8 ต.ค.2015 :วันแรก ณ ทุ่ง แอนฟิลด์ #KloppforTheKopเราจะเปลี่ยนผู้กังขาให้กลายเป็นผู้ศรัทธาผมรู้สึกว่าถ้าใครสนใจในตัวผม ผมจะเตรียมตัวให้พร้อม แต่ตอนนี้ผมผ่อนคลาย การตัดสินใจพักหลังจากทำงานมา 15 ปี เป็นเรื่องสำคัญ ผมมีเวลายอดเยี่ยมกับดอร์ทมุนด์ 6 ปี ยากในปีแรกและปีสุดท้าย แต่โดยภาพรวมนั้นมันสมบูรณ์แบบมาก ผมต้องการสิ่งใหม่ในชีวิต นี่แหละผมจึงเดินทางมาที่ลิเวอร์พูล...TERRIBLE :เยอร์เกน คลอปป์ ได้ชื่อว่าเป็นผู้ให้ความสำคัญกับ First Impression มาก ด้วยเหตุนี้สิ่งแรกที่เขาทำในการพบกับลูกทีมใหม่ที่สนามซ้อมเมลวูด คือ การเขียนคำว่า “TERRIBLE” ลงบนกระดานไวท์บอร์ด เพื่ออธิบายเหล่านักเตะเหล่าว่า นับจากนี้ต่อไปทีมต่างๆ ที่มาลงแข่งกับลิเวอร์พูลจะรู้สึกอย่างไร เมื่อต้องพบกับการเล่นอันดุดันของพวกเรา! แนวทางการสร้างทีมไปสู่ Heavy Metal Football สปิริตในทีมต้องมาก่อนพรสวรรค์ :โวลฟ์กัง แฟร้งค์ (Wolfgang Fannk) อดีตผู้จัดการทีมไมนซ์ คือ บุคคลที่มีอิทธิพลต่อผมมาก เพราะเขาทำให้นักเตะได้มองฟุตบอลบอลรูปแบบใหม่ มันหมดยุคแล้ว ที่คุณจะมาพูดเรื่องความสามารถเฉพาะตัว เพราะมันคือความสามารถของทั้งทีมผมเน้นย้ำกับนักเตะเสมอว่า ถ้าเราเล่นด้วยสปิริต และทุกคนทำตามหน้าที่ของตัวเอง เราสามารถสร้างปัญหาให้คู่แข่งได้ เพราะแนวคิดในการเล่นทั้งหมด มันคือสิ่งที่พวกเขากำลังทำในสนาม เพราะพวกเราไม่ต้องการโชว์การเล่นเกมรุก หรือ ความก้าวหน้าทางกลยุทธ์ แต่เราต้องการทำให้คู่แข่งเล่นแย่ลงให้ได้เอาล่ะ....หากทีมคุณอุดมไปด้วยนักเตะระดับท็อปจำนวนมาก โอกาสที่จะชนะย่อมง่ายขึ้น แต่นักเตะชั้นยอดเหล่านั้นไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างในเกม นั่นเป็นเพราะความแตกต่างในเรื่องนี้คือ ทีมที่ดีที่สุด ไม่ทำให้คุณชนะได้เสมอไป คุณไม่จำเป็นต้องมีนักเตะมากพรสวรรค์มาเล่นเพื่อป้องกันคู่แข่ง ด้วยเหตุนี้ แม้คุณภาพนักเตะจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่า คือ รูปแบบและกลุยทธ์ในการเล่นฟุตบอล เพราะการป้องกันที่มีคุณภาพจะสามารถปัญหาให้คู่แข่งได้มากที่สุดฟุตบอลคือกีฬาที่เล่นเป็นทีม ซึ่งแตกต่างจากเทนนิสที่เป็นกีฬาเฉพาะบุคคล ด้วยเหตุนี้พวกเราจึงต้องร่วมกันเล่นเป็นกลุ่ม และนี่คือสิ่งที่ต้องยอมรับกับกฎธรรมชาติข้อนี้ จนกว่าจะตาย ปรัชญาการเล่นฟุตบอล ของ เยอร์เกน คลอปป์ 1. ต้องพร้อมสำหรับจู่โจมคู่ต่อสู้ทันที เมื่อทีมสูญเสียการครอบครองบอล2. วิ่งไล่บอลกดดันคู่ต่อสู้อย่างหนักหน่วง เพื่อให้มีคนว่างสำหรับการรับบอล เพื่อเปลี่ยนจากรับเป็นรุก3. เน้นการเล่นเป็นกลุ่มมากกว่าส่วนบุคคล ทีมต้องป้องกันอย่างมีวินัยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยเริ่มจากการไล่บีบคู่ต่อสู้เพื่อสร้างแรงกดดันทันที 4. ควบคุมการเล่นและครอบครองบอล ไม่ใช่พึ่งเพียงการเล่นโต้กลับอย่างเดียว 5. สร้างเกมรุกตอบโต้เร็วได้จากหลายทิศทาง 6. เน้นเกมรุกแบบโจมตีแนวตั้ง ไม่รับส่งบอลไปมา ผ่านบอลขวางสนาม และเน้นการโจมตีเพื่อเข้าสู่พื้นที่กรอบเขตโทษคู่ต่อสู้อย่างรวดเร็ว 7. เล่นบอลเร็ว ด้วยบอลจังหวะเดียว และไม่ครอบครองบอลนานเกินไปโดยไม่จำเป็น 8. เคลื่อนที่เข้าแย่งบอลเป็นกลุ่ม เพื่อยึดพื้นที่การเล่น และป้องกันไม่ให้คู่แข่งได้เล่นเกมที่ตัวเองถนัด 9. วิ่งไล่กดดันและรุมแย่งบอลจากคู่ต่อสู้ให้เร็วที่สุด วิธีคิดที่ถูกบรรจุอยู่ในสมองนักเตะ : 1. คิดเร็วทำเร็ว2. แข็งแกร่งทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และต้องตื่นตัวตลอด 90 นาที 3. สามารถรับ-ส่งบอลได้อย่างแม่นยำ 4. มีวินัยด้านแท็กติก แต่ต้องมีสามารถยืดหยุ่นขณะเข้าคุมพื้นที่ ไม่ยึดตำแหน่งตัวเองตลอดเวลา เยอร์เกน คลอปป์ กับ วิทยาศาสตร์การกีฬา : แม้ว่าผมจะชื่นชอบเรื่องสถิติตัวเลขต่างๆ ในเกมฟุตบอล โดยเฉพาะเกมล่าสุด หรือการประเมินผลทั้งฤดูกาล แต่ผมคือคนที่ยึดมั่นในแนวคิดที่ว่า คุณต้องมองเห็นด้วยตาคุณเองมากกว่า เช่น ถ้าการขึ้นบอลช้าเกินไป ผมจะเห็นมันก่อนที่จะมีใครส่งตัวเลขให้ผมดูเสียอีก จากนั้น...ผมจะฝึกซ้อมในสนามทุกวัน ผมไม่ต้องการตัวเลขเหล่านี้มาบอก เพราะผมถูกฝึกมาให้มองเห็นสิ่งเหล่านี้ด้วยตาของผมเอง3 อันดับนักเตะที่คุ้มค่าตัวมากที่สุดในยุคของ เยอร์เกน คลอปป์ อันดับที่ 1 : โมฮาเหม็ด ซาลาห์ (Mohamed Salah) ค่าตัว : 34 ล้านปอนด์ หนึ่งในกองหน้าที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลของลิเวอร์พูล หลังย้ายจากสโมสรโรมาสู่ถิ่นแอนฟิลด์ในปี 2017 โดยจนถึงปัจจุบัน (สิ้นสุดวันที่ 2 ก.พ.24) ลงเล่นรวมทุกถ้วยไปแล้ว 332 นัด ยิง 204 ประตู และ 82 Assists รู้หรือไม่? โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เกือบไม่ได้ย้ายมาลิเวอร์พูล เพราะ จอห์น ดับเบิลยู เฮนรี เจ้าของเฟนเวย์ สปอร์ตส์ กรุ๊ป หรือ FSG และ ไมค์ กอร์ดอน ประธาน FSG แสดงท่าทีคัดค้าน เนื่องจากมองค่าตัวเกือบ 40 ล้านปอนด์แพงเกินไปสำหรับปีกที่เคยล้มเหลวในพรีเมียร์ลีกมาแล้วกับเชลซี ในขณะที่ เยอร์เกน คลอปป์ เองก็อยากได้ “จูเลียน บรันด์ท” Wonder Kid แห่งเยอรมนี ที่ในเวลานั้นอยู่กับ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน มากกว่า แต่แล้วทั้ง 3 คนก็ต้องยอมแพ้ให้กับการโน้มน้าวของ ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ ผู้อำนวยการด้านกีฬาของลิเวอร์พูล ซึ่งยืนกรานอย่างหนักแน่นว่าได้เกาะติดความก้าวหน้าของราชันแห่งอียิปต์ผู้นี้มาอย่างต่อเนื่อง อันดับที่ 2 : เวอร์จิล ฟานไดค์ (Virgil van Dijk)ค่าตัว : 75 ล้านปอนด์ กองหลังค่าตัวแพงเจ้าของสถิติลงเล่นรวม 247 นัด ยิง 21 ประตู และ 9 Assists จิ๊กซอว์สำคัญในการปูทางไปสู่การสร้างความแข็งแกร่งให้กับแนวรับของลิเวอร์พูลในยุคนี้ ซึ่งต้องแลกมาด้วยการถูกที่ เยอร์เกน คลอปป์ ถูกเย้ยหยันว่ากำลังกลืนน้ำลายของตัวเอง โทษฐานไปแหย่รังแตน วิพากษ์วิจารณ์เรื่องการทุ่มเทเงินจำนวนมากสำหรับการซื้อ พอล ป็อกบา ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รู้หรือไม่? กว่าจะได้ตัว เวอร์จิล ฟานไดค์ มาร่วมทีม เยอร์เกน คลอปป์ ต้องลงทุนบุกไปจับเข่าคุยกับกองหลังทีมชาติเนเธอร์แลนด์รายนี้ พร้อมกับหยอดคำหวานที่ว่า...ไดค์ นายรู้ไหม จากนี้ไป นายจะเป็น Game-Changer ที่จะช่วยให้ลิเวอร์พูลก้าวกระโดดเหนือคู่แข่งและกลายเป็นผู้ชนะ! อันดับที่ 3 : อลิสซอน เบคเกอร์ (Alisson Becker) ค่าตัว : 65 ล้านปอนด์ นายทวารทีมชาติบราซิล เจ้าของสถิติ ลงเล่นรวม 254 นัด 110 คลีนชีต หนึ่งในเทพผู้พิทักษ์ที่ดีที่สุดคนหนึ่งเท่าที่ประวัติศาสตร์ลิเวอร์พูลเคยมีมา โดยเขาถูกซื้อมาเพื่อทดแทน จุดอ่อนที่มีชื่อว่า ลอริส คาริอุส หนึ่งในหายนะครั้งใหญ่ของหงส์แดงตะแคงฟ้า รู้หรือไม่? เยอร์เกน คลอปป์ เฝ้าจับตา “พ่อหมี” ที่ตอนนั้นยังเป็นเพียงดาวรุ่งของสโมสรอินเตอร์นาซิอองนาล ในประเทศบราซิล มาตั้งแต่ปี 2013 แล้ว แต่การตัดสินใจว่าจะต้องซื้อไอ้หมอนี้มาร่วมทีมให้ได้ เกิดขึ้นในฤดูกาล 2017/18 หลัง อลิสซอน โชว์ฟอร์มได้อย่างเตะตาในแชมเปียนส์ลีก และก็เช่นเดียวกับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่เกือบไม่ได้มาลิเวอร์พูล เนื่องจากถูกโรมาโก่งค่าตัวสูงถึง 90 ล้านปอนด์ในการเจรจาครั้งแรก หากแต่การยืนกรานของ เยอร์เกน คลอปป์ ที่ว่าจะไม่เมียงมองนายทวารคนใดอีกเลย บวกกับ โรมา ยอมใจอ่อนลดราคาลงมาเหลือ 65 ล้านปอนด์ ลิเวอร์พูลจึงรีบปิดดีลลงในทันที ความมั่งคั่งของลิเวอร์พูล จาก Gegenpressing : รู้หรือไม่? 9 ปี แห่งความสำเร็จภายใต้การคุมทีมของ เยอร์เกน คลอปป์ มูลค่าทีมลิเวอร์พูลเพิ่มสูงขึ้นถึง 667%! ปี 2010 : Fenway Sports Group เข้าซื้อสโมสร 300 ล้านปอนด์ ปี 2015 : เยอร์เกน คลอปป์ เข้าคุมทีมลิเวอร์พูลมูลค่าสโมสรลิเวอร์พูล ระหว่างปี 2014-2023 2014 : 691 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 2015 : 982 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 2016 : 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 2017 : 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 2018 : 1,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 2019 : 2,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 2020 : 2,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ2021 : 4,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ2022 : 4,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ2023 : 5,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เพิ่มขึ้น +667% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2014)อ้างอิงข้อมูล : Forbes รายได้ที่เพิ่มพูนจาก Gegenpressing : รายงาน Football Money League ของ Deloitte ประเมินว่า ฤดูกาล 2022/23 สโมสรลิเวอร์พูลสร้าง “รายได้” สูงถึง 682.9 ล้านยูโร (26,185 ล้านบาท) ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงกว่าฤดูกาล 2014/15 ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่กุนซือเยอรมนี จะเข้ารับตำแหน่ง ซึ่งทำรายได้เพียง 391 ล้านยูโร (14,992 ล้านบาท) ถึง 74%! รายรับจาก Match Day (รายได้ในวันแข่งขัน) ของลิเวอร์พูลฤดูกาล 2022/23 สูงถึง 103 ล้านยูโร (3,949 ล้านบาท) ซึ่งสูงกว่าตัวเลข 75 ล้านยูโร (2,875 ล้านบาท) เมื่อฤดูกาล 2014/15 ถึง 37% หลังขยายความจุสนามแอนฟิลด์เพิ่มเป็น 61,000 ที่นั่งรายรับจากลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดในฤดูกาล 2022/23 อยู่ที่ 282 ล้านยูโร (10,813 ล้านบาท) ซึ่งสูงกว่าตัวเลข 163 ล้านยูโร (6,250 ล้านบาท) ในฤดูกาล 2014/15 ถึง 73% ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน อ่านบทความที่น่าสนใจ 30 ปี ที่ “ลิเวอร์พูล” รอคอย วิถีผู้ชนะ วิถีแห่ง Klopp is Godดื่มด่ำ 15 ปี Miracle of Istanbul ในวันที่ "ลิเวอร์พูล" จองแชมป์พรีเมียร์ลีกมาซาทาดะ อิชิอิ ร่วมสัมผัสความหวังของผู้ปลุกฟุตบอลไทยJapan’s Way วิถีญี่ปุ่นสู่แชมป์โลกปี 2050 (ตอนที่ 1)เปิดสเปกนักเตะญี่ปุ่น ตามวิถี Japan’s way สู่แชมป์โลก 2050 (ตอนที่ 2)