เหตุและปัจจัยแวดล้อมที่นำไปสู่ การประหารชีวิตเยาวชนที่ก่อเหตุบุกเข้าไปในบ้านพักเหยื่อ ก่อลงมือใช้ขวานและมีดทั้งฟันและแทงพ่อและแม่ของหญิงสาวเพื่อนนักเรียนที่แอบหลงรัก สิ้นใจตายอย่างโหดเหี้ยม ก่อนจะจุดไฟเผาบ้านจนไม่เหลือชิ้นดี...ครอบครัวตระกูลอิโนะอุเอะ (นามสมมุติ) : ตระกูลอิโนะอุเอะ ซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองโคฟุ ย่านที่พักอาศัยอันเงียบสงบและเต็มไปด้วยไร่องุ่น มีสมาชิกในครอบครัวรวม 4 คน ประกอบด้วย นาย A (นามสมมุติ) วัย 55 ปี พนักงานบริษัทเอกชนที่เงียบขรึมและจริงจัง นาง B (นามสมมุติ) แม่บ้าน อายุ 50 ปี เด็กหญิง C พี่สาวคนโต และ เด็กหญิง D (นามสมมุติ) โดย เด็กหญิง C ลูกสาวคนโต นักเรียนชั้นมัธยมปลาย นอกจากเป็นคนที่มากด้วยความสามารถ จากการเป็นทั้งสมาชิกชมรมหมากรุกญี่ปุ่น , ชมรมการละคร และหนึ่งในคณะกรรมโรงเรียนนั้นแล้ว ยังเป็นคนหน้าตาดีและมีบุคคลิกน่ารักสดใส ด้วยเหตุนี้เธอจึงเป็นที่ Popular ในโรงเรียนที่เธอศึกษาอยู่ และไม่เคยมีปัญหากับเพื่อนนักเรียนคนใดเลย ธันวาคม ปี 2023 :“ฉันกำลังคิดหาเหตุผล ว่ามันเป็นเพราะอะไร? ถึงได้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นทั้งๆที่ คุณพ่อ คุณแม่ และน้องสาวของฉัน ไม่ได้ทำอะไรผิด และฉันไม่เชื่อในสิ่งที่จำเลยพยายามเอ่ยอ้างในระหว่างการพิจารณาคดี ฉันไม่เข้าใจมันเลยจริงๆ” “ฉันขอไม่พูดว่าฉันต้องการให้มีการลงโทษ (จำเลย) แบบไหน? เพราะฉันหวาดกลัวเขามากๆ” คำพูดจากปากของ เด็กหญิง C และ เด็กหญิง D สองพี่น้องที่รอดชีวิตจาก (อดีต) เยาวชนใจเหี้ยม ที่มีชื่อว่า “นายฮิโรกิ เอนโด” (Hiroki Endo) ฆาตกรโหดที่พรากทุกสิ่งทุกอย่างไปจากพวกเธอในค่ำคืนของวันที่12ต.ค.21 ในระหว่างการพิจารณาหนึ่งในคดีที่สั่นสะเทือนเกาะญี่ปุ่นหมายเหตุ ตามกฏหมายเยาวชน (Juvenile Law) ฉบับแก้ไขปรับปรุง ที่มีชื่อว่า “Specified Juvenile” ของญี่ปุ่น ซึ่งเริ่มบังคับใช้เมื่อเดือนเมษายน ปี 2022 อนุญาติให้มีการเปิดเผยชื่อจริงและใบหน้าของผู้ต้องหาที่มีอายุ 18 และ19 ปี ได้แล้ว หลังมีการลดอายุผู้บรรลุนิติภาวะจากเดิมอายุ 20 ปี ลงมาเหลือ 18 ปี อีกทั้งผู้ก่อเหตุอาชญากรรม จะถูกส่งตัวไปพิจารณาคดีที่ศาลอาญา จากเดิมที่จะถูกส่งตัวไปพิจารณาคดีที่ศาลครอบครัว แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ในวันที่12ต.ค.21 ซึ่งเป็นวันที่สร้างบาดแผลให้กับตระกูลอิโนะอุเอะไปตลอดกาล? เวลา 03.30 น. เมืองไคฟุ จังหวัดยามานาชิ ประเทศญี่ปุ่น : เด็กหญิง D เดินงัวเงียลงบันไดมาจากชั้น 2 ของบ้าน หลังได้ยินเสียงเอะอะผิดสังเกต ทันใดนั้นเอง...เธอก็ได้พบเห็นชายแปลกหน้าคนหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางความมืดสลัว ด้วยความตกใจจึงได้หันหลังเพื่อพยายามวิ่งหนี ชายแปลกหน้าคนดังกล่าวจึงได้วิ่งไล่ตามพร้อมพยายามใช้ขวานทำร้ายร่างกายเธอ หากแต่เธอหนีรอดไปได้อย่างหวุดหวิด เสียงกรีดร้องของน้องสาว ได้ปลุกให้พี่สาวของเธอตื่นขึ้น และท่ามกลางความตื่นตระหนกนั้น ผู้เป็นพี่สาวได้รีบใช้โทรศัพท์แจ้งเหตุร้ายกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจทันที! แต่แล้ว...ในท่ามกลางความขวัญผวาของทั้งสองพี่น้อง จู่ๆคนร้ายก็ได้ราดน้ำมันแล้วจุดไฟเผาบ้านหลังดังกล่าวจนเปลวเพลิงลุกแดงไหม้แดงฉาน และเมื่อเกิดเหตุไฟไหม้บ้านของตระกูลอิโนะอุเอะ เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียง ได้โทรศัพท์แจ้งเหตุกับเจ้าหน้าที่ดับเพลิงและเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมกับพยายามช่วยกันหาทางดับเพลิงทันที! เมื่อเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้บ้านค่อยๆลามเข้ามาใกล้ตัวทุกขณะ เด็กหญิง C ที่ยังอยู่ชั้น 2 จึงตัดสินใจหนีตายโดยการกระโดดลงมาจากระเบียงบ้าน จนกระทั่งรอดชีวิตออกมาได้ ในท่ามกลางความชุลมุนและแตกตื่นนั่นเอง...คนร้ายได้เดินออกจากที่เกิดเหตุอย่างใจเย็น และแม้จะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจพบระหว่างทาง ขณะกำลังรีบเดินทางไปยังบ้านของตระกูลอิโนะอุเอะ แต่เมื่อถูกเรียก ฆาตกรใจเหี้ยมคนนี้ก็ชิงรีบวิ่งหนีไปในทันที ซึ่งอาการส่อพิรุธที่ว่านี้เอง ทำให้ในภายหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงมั่นใจว่า “ชายคนนี้” น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน! พบศพสองสามีภรรยาตระกูลอิโนะอุเอะ : หลังสามารถควบคุมเพลิงเอาไว้ได้ เจ้าหน้าที่กู้ภัยพบศพของสองสามีภรรยาตระกูลอิโนะอุเอะ คือ “นาย A” วัย 55 ปี และ “นาง B” วัย 50 ปี ซึ่งเป็นพ่อและแม่ของทั้งสองสาวพี่น้องที่หนีพ้นเงื้อมมือของฆาตกรไปได้อย่างหวุดหวิด...นอนเสียชีวิตอยู่ในกองเพลิง อย่างไรก็ดี จากการชันสูตรพลิกศพกลับพบว่า สาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริงของสองสามีภรรยาอิโนะอุเอะ กลับเป็น....การถูกขวานจามเข้าที่ศีรษะและถูกแทงที่ร่างกายมากกว่า 10 แผล จนเสียชีวิต!ฆาตกรใจเหี้ยมเข้ามอบตัว : วันที่12ต.ค.21เวลา 19.00 น. “ฮิโรกิ เอนโด” นักเรียนมัธยมปลายวัย 19 ปี (ณ วันก่อเหตุ) ผู้ต้องสงสัยในคดีดังกล่าว ได้เดินทางมามอบตัวที่สถานีตำรวจมิโนบุ จังหวัดยามานาชิ พร้อมกับให้การรับสารภาพพร้อมคราบน้ำตาว่า “ผมเพิ่งลงมือฆ่าคน” จากนั้นจึงได้บอกเล่าถึงสาเหตุการลงมืออันแสนน่าสยดสยองนี้ว่า... “ผมรู้สึกโกรธและผิดหวังที่เธอ (ลูกสาวคนโตของตระกูลอิโนะอุเอะ ซึ่งเป็นเพื่อนนักเรียนโรงเรียนเดียวกัน) เมินเฉยต่อความรักที่มอบให้” หลังจากเธอ “ปฏิเสธ” ที่จะออกเดทกับเขา รวมทั้งยังบล็อกไลน์ เพื่อปิดช่องทางการสานสัมพันธ์” พร้อมกันนี้ ฆาตกรหนุ่มยังให้การถึงวันที่เข้าไป “ทำลายชีวิตคนตระกูลอิโนะอุเอะ” อันน่าสยดสยองว่า...หลังจากทุบทำลายหน้าต่างชั้น 1 ของบ้านอิโนะอุเอะ และไขประตูเข้าไปภายในบ้านแล้ว เมื่อพบเห็นสองสามีภรรยาที่กำลังนอนอยู่ชั้นล่าง ก็ตรงเข้าไปใช้ทั้งขวานและมีดทั้งฟันและแทงเข้าไปที่ศีรษะของเหยื่อทั้ง 2 คน ซ้ำไปซ้ำมาอย่างทารุณโหดร้ายจนกระทั่งเสียชีวิต จากนั้นเมื่อเห็นน้องของหญิงสาวที่ตัวเองแอบหลงรัก เดินลงมาจากชั้น 2 ก็ตรงไปพยายามทำร้ายร่างกายทันที แต่เธอหนีรอดไปได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น เขาจึงได้ตัดสินใจราดน้ำมันและจุดไฟเผาบ้าน ก่อนจะหลบหนีออกมาในที่สุด ทั้งนี้ สื่อของญี่ปุ่นรายงานว่า หลังเด็กหญิง C ได้รับทราบคำรับสารภาพของ “ฆาตกรใจโหด” ขณะที่ทั้งเธอและน้องสาวให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เธอเอาแต่โทษตัวเองพร้อมน้ำตานองหน้าว่า.... “ทั้งหมดเป็นความผิดของฉันเอง...” กฏหมายเยาวชนของประเทศญี่ปุ่น (Juvenile Law) เนื่องจากเยาวชนที่ก่อเหตุมีอายุเพียง 19 ปี (ณ ขณะก่อเหตุ) จึงทำให้อยู่ภายใต้ “กฎหมายเยาวชน” ด้วยเหตุนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจญี่ปุ่น จึงต้องดำเนินการสอบสวนด้วยความระมัดระวังขั้นสูงสุด และเป็นเหตุให้ สื่อมวลชนในญี่ปุ่น (ณ เวลานั้น) ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ชื่อ , ใบหน้า , อาชีพ หรือ ภาพถ่ายได้ นอกจากนี้ ฆาตกรวัยรุ่นยังต้องถูกส่งตัวไปประเมินทางจิตเวชเป็นเวลาถึง 3 เดือน ก่อนจะถูกนำตัวไปพิจารณาคดีที่ศาลครอบครัว (Family Court) ซึ่งจะมีบทลงโทษสถานเบาอย่างไรก็ดี เมื่อเสร็จสิ้นผลการประเมินทางจิตเวช และอัยการได้ส่งฟ้องคดีดังกล่าวไปยังศาลครอบครัวตามขั้นตอนเมื่อปี 2023 ที่ผ่านมา ศาลครอบครัว กลับมีคำตัดสินว่า เนื่องจากเป็นการก่ออาชญากรรมที่มีระดับความรุนแรงสูง ฉะนั้น จึงควรมีการพิจารณาใช้บทลงโทษทางอาญาให้มีความเหมาะสม ทำให้ อัยการต้องนำเรื่องกลับไปพิจารณาใหม่ และนำไปสู่การตั้งข้อหาหนักถึง 4 กระทง ประกอบด้วย ฆาตกรรม ,วางเพลิง , พยายามฆ่า และ ลักทรัพย์ในเคหสถานในเวลากลางคืน พร้อมกับเสนอให้มีการลงโทษขั้นสูงสุด คือ “ประหารชีวิต” ในขณะที่ทนายของฝ่ายจำเลย โต้แย้งว่า ขณะเกิดก่อเหตุ จำเลยอยู่ในสภาพบกพร่องทางจิตใจจนไม่สามารถรู้ผิดชอบชั่วดี จึงควรได้รับการละเว้นโทษประหารชีวิตทั้งก่อนและระหว่างการพิจารณาคดีมีข้อมูลเพิ่มเติมถึง “คำตอบ” ที่เป็นปัจจัยสู่การฆาตกรรมสุดสยองจากน้ำมือเยาวชนใจเหี้ยมรายนี้หรือไม่? ความกังวลของเด็กสาว : สื่อญี่ปุ่นรายงานโดยอ้างอิงคำให้สัมภาษณ์ของเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียงกับบ้านผู้เสียหาย ซึ่งระบุว่า...“ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุไม่นานนัก เด็กหญิง C กำลังรู้สึกกังวลใจ เนื่องจากสังเกตได้ว่ามีคนคอยสะกดรอยตาม ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังเคยได้รับของขวัญราคาแพงจากแบรนด์ Tiffany&Co และแบรนด์หรูอื่นๆจาก “บุคคลลึกลับ” ส่งมาที่บ้าน โดยที่เธอไม่รู้ตัวด้วย”นอกจากนี้ เพื่อนบ้านอีกคน ยังบอกเล่ากับผู้สื่อข่าวด้วยว่า ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุไม่นานนัก เขาพบเห็นบุคคลลึกลับใช้ไฟฉาย ส่องเข้าไปที่บ้านของครอบครัวผู้เสียหายในช่วงกลางดึกอีกด้วยสิ่งที่อยู่เบื้องหลังพฤติกรรมและอุปนิสัยของฆาตกร : สื่อญี่ปุ่นรายงานว่าในระหว่างการพิจารณาคดี เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2023 ได้มีการเปิดคำให้การลายลักษณ์อักษรของผู้เป็นมารดาฆาตกรรายนี้ ซึ่งได้ระบุเอาไว้ว่า...ฮิโรกิ เอนโด ลูกชายของฉันเป็นคนเก็บตัวมาตั้งแต่เรียนชั้นประถมศึกษาแล้ว อันเป็นผลมาจากการที่บิดาผู้ให้กำเนิดถูกดำเนินคดีในข้อหาลักทรัพย์ จนเป็นเหตุให้บรรดาเพื่อนบ้านบอกกับลูกๆของตัวเองว่า อย่าไปเล่นกับฮิโรกิ จนกระทั่งทำให้เขาแทบจะไม่มีเพื่อนเลย นอกจากนี้ ฮิโรกิ ยังเคยถูกแม่ของเพื่อนสนิทกล่าวหาว่า “ขโมยเกมนินเทนโด DS” และถูกพาตัวมาค้นถึงที่บ้านพักโดยไม่รับฟังเหตุผลใดๆ ซึ่งประเด็นนี้ทำให้ ฮิโรกิ เชื่อมั่นว่า เป็นเพียงการใส่ความที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อหวังจะไม่ให้เพื่อนๆมาเล่นกับเขา อีกทั้งเมื่อฉันได้แต่งงานกับสามีใหม่ สถานการณ์ภายในครอบครัวของเราสำหรับ ฮิโรกิ ก็ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ อันเป็นผลมาจากการปฏิบัติต่อเขาที่ไม่ดีนัก จากการที่ฉันเอง ซึ่งทั้งต้องทำงานนอกบ้าน และดูแลลูกที่ยังเล็ก รวมถึงสามีใหม่ยังเกิดมาป่วยด้วยโรคหัวใจด้วยนอกจากนี้ การที่ ฮิโรกิ พยายามออกมาปกป้องฉันในทุกๆครั้งที่มีปากเสียงกับสามีใหม่ จนเป็นเหตุให้เขาถูกทำร้ายร่างกายบ่อยครั้ง ทำให้เขาเกิดความเครียดสะสมและกลายเป็นคนที่เก็บตัวมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่ช่วงมัธยมศึกษาตอนต้น กระทั่งป่วยเป็นโรคความดันโลหิตต่ำและไม่สามารถรัปทานอาหารได้ จนต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล ในสายตาของฉัน ฮิโรกิ เป็นคนพิถิพิถัน เจ้าระเบียบและเงียบขรึม ซึ่งแตกต่างจากเด็กในวัยเดียวกัน และเมื่อใดก็ตามที่เกิดเหตุที่ไม่ได้เป็นไปตามที่เขาคาดหมายไว้ เขาจะปิดกั้นตัวเองทันที จนเป็นผลให้สูญเสียการมองเห็นสภาพแวดล้อมต่างๆที่เกิดขึ้นรอบๆตัวความผิดหวังซ้ำซากที่นำไปสู่ความเกรี้ยวกราด : “ไม่มีอะไรดีขึ้น ฉันหวังว่าฉันไม่ควรเกิดมาเลย” ฮิโรกิ เอนโด จำเลยกล่าวครั้งหนึ่งทนายจำเลย ได้ขึ้นให้การต่อศาลเพื่อพยายามอธิบายถึงการมองโลกในแง่ร้ายและความสิ้นหวังจนกระทั่งระเบิดออกมาเป็นการก่อเหตุอันน่าสยดสยองนี้ว่า...แม้จะมีสภาพแวดล้อมทางครอบครัวที่ยากลำบากแต่จำเลย (ฮิโรกิ) ก็สามารถกลับไปเรียนจนจบมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก่อนจะเข้าศึกษาต่อในระดับมัธยมปลาย (โรงเรียนเดียวกับเด็กหญิง C) ในหลักสูตรการศึกษานอกโรงเรียนได้สำเร็จ เขาตั้งใจเรียนอย่างหนักเพื่อหวังจะได้งานที่ดีในอนาคต ด้วยเหตุนี้จึงไม่เคยขาด ลา หรือ มาสายแม้แต่เพียงครั้งเดียว อีกทั้งยังได้รับเลือกให้เป็นประธานนักเรียนอีกด้วย แต่แล้วเมื่อเรียนจบมัธยมปลาย อนาคตของเขากลับถูกตัดสินโดยแม่ เขาต้องไปทำงานที่เขาไม่อยากทำ ด้วยเหตุนี้มันจึงทำให้เขาคิดว่า ความพยายามและตั้งใจอย่างหนักเพื่อทุ่มเทให้กับการเรียนกลายเป็นสิ่งที่ไร้ค่า และเมื่อมันถูกนำไปหลอมรวมกับความโหดร้ายต่างๆนานา ที่สะสมมาตั้งแต่ในวัยเด็ก รวมถึงล่าสุดความผิดหวังจากหญิงสาวที่แอบหลงรัก ทั้งหมดนี้จึงนำไปสู่เหตุการณ์ที่เศร้าสลดในที่สุด! ทั้งนี้ สื่อญี่ปุ่นที่เข้าร่วมรับฟังการพิจารณาคดี ระบุว่า ตลอดเวลาที่มีการพูดถึงภูมิหลังของฮิโรกิ จำเลยมักจะเอามือทั้งสองข้างปิดหูของตัวเองตลอดเวลา ซึ่งน่าจะเป็นอาการที่แสดงออกว่าไม่ต้องการที่จะได้ยินเรื่องราวของตัวเองในอดีต คำพิพากษาประหารชีวิตครั้งประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น : มกราคม 2024 : “จุน มิคามิ” (Jun Mikami) ประธานคณะผู้พิพากษา ศาลแขวงโทฟุ อ่านคำพิพากษาในคดีประวัติศาสตร์นี้ว่า...เหตุฆาตกรรมที่เกิดขึ้น ถือเป็นการก่ออาชญากรรมที่มีการเตรียมวางแผนมาเป็นอย่างดี รวมถึงยังมีการเตรียมอาวุธสังหารเอาไว้ล่วงหน้า อีกทั้งจำเลยยังสามารถควบคุมการกระทำของตัวเองเพื่อให้บรรลุสู่เป้าหมายได้ ส่วนข้อโต้แย้งของจำเลยที่ว่า มีความผิดปกติทางจิตและร้องขอให้มีการรับโทษประหารชีวิตนั้น ผลการประเมินทางจิตเวชซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างการสอบสวนระบุไว้อย่างชัดเจนว่า... “ไม่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจหรือการกระทำใดๆของจำเลย” โดยเฉพาะการใช้อาวุธสังหารเหยื่อจนเสียชีวิตถึง 2 ศพ อย่างโหดเหี้ยมและทารุณหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งถือเป็นการแสดงออกถึง “เจตนาในการฆาตกรรมที่ชัดเจนที่สุด” ด้วยเหตุนี้ การฆาตกรรมที่พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปถึง 2 ชีวิต จึงถือเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นจากความเห็นแก่ตัวและไม่สมเหตุสมผล อีกทั้งเมื่อประกอบกับการที่จำเลยไม่เคยมีการกล่าวคำขอโทษต่อครอบครัวผู้เสียหายอย่างจริงใจ ทำให้ถึงแม้ว่าโทษทางอาญาจากการกระทำดังกล่าวจะถือว่ามีความรุนแรงหากพิจารณาว่าจำเลยมีอายุเพียง 19 ปี แต่เป็นไปได้ยากที่จำเลยจะบำบัดฟื้นฟูตัวเองเพื่อกลับคืนสู่สังคม จึงพิพากษาให้ “ประหารชีวิตจำเลย” โดยสื่อของญี่ปุ่น รายงานว่า หลังสิ้นคำของพิพากษา “ฮิโรกิ เอนโด” (ปัจจุบันอายุ21ปี) พยักหน้ารับเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเพียงสั้นๆว่า “ครับ” และทำให้เขากลายเป็น เยาวชนคนแรกที่ถูกตัดสินประหารชีวิตภายใต้กฏหมายเยาวชนฉบับปรับปรุง “Specified Juvenile” หลังสิ้นสุดคำพิพากษา ทนายจำเลยได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวสำนักข่าว NHK ว่า “รู้สึกผิดหวังที่ศาลไม่รับฟังข้อโต้แย้งจากฝ่ายจำเลย อย่างไรก็ดีจะมีการหารือกับลูกความเพื่อเตรียมขอยื่นอุทธรณ์ต่อไป”อย่างไรก็ดี “ฮิโรกิ เอนโด” ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวสำนักข่าว NHK ในประเด็นนี้ว่า “หากทนายของผมยื่นอุทธรณ์ ผมจะขอให้มีการเพิกถอนการยื่นอุทธรณ์ในคดีนี้” ข้อมูลประกอบ : คำพิพากษาประหารชีวิตเยาวชนในประเทศญี่ปุ่นจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ปี 1968 : เยาวชนอายุ19ปี ถูกตัดสินประหารชีวิตหลังก่อเหตุกราดยิงจนทำให้มีผู้เสียชีวิต 4 ศพปี 1992 : เยาวชนอายุ19ปี ถูกตัดสินประหารชีวิตหลังก่อเหตุบุกเข้าไปในบ้านพักเมืองอิชิคาวะ จังหวัดชิบะ ก่อนลงมือสังหารสมาชิกในบ้านหลังดังกล่าวถึง 4 ศพ ปี 1994 : เยาวชนวัย 18 ปี และ 19 ปี ถูกตัดสินประหารชีวิตหลังก่อเหตุตระเวนรุมสังหารเหยื่อ 4 ศพ ปี 1999 : เยาวชนวัย 18 ปี ถูกตัดสินประหารชีวิต หลังก่อเหตุฆาตกรรมแม่บ้านและเด็กสาวในจังหวัดยามากุจิ ปี 2010 : เยาวชนวัย 18 ปี ถูกตัดสินประหารชีวิต หลังก่อเหตุสังหารเหยื่อ 2 ศพ ในจังหวัดมิยางิทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม ถอดรหัส 2 คดีเยาวชนสับสยองเขย่าขวัญคนเกาหลีอี ซอน คยุน ความโศกเศร้าที่สะท้อนมาตรฐานกฎหมายและจริยธรรมอี ซอน คยุน กับคำตอบจาก KBS ถึงจริยธรรมสื่อพโยเยริม เหยื่อบูลลี่ เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวดรวมเรื่องจริง บูลลี่ในรั้วโรงเรียน โศกนาฏกรรม การแก้แค้นและความเศร้า