"โดมินิก โซโบสไล" การถือกำเนิดใหม่ของ สตีเวน เจอร์ราร์ด มาร์คทู เมื่อเทียบแบบปอนด์ต่อปอนด์...

“Steve Gerrard, Gerrard, he’ll pass the ball 40 yards.”

“สตีเวน เจอร์ราร์ด, เจอร์ราร์ด, เขาผ่านบอลไกล 40 หลา” 

เพลงเชียร์ประจำตัวที่กระหึ่มทุ่งแอนฟิลด์มาเนิ่นนาน...บางทีอาจถึงคราวต้อง “ส่งมอบ” ให้กับ “ศิลปินลูกหนังคนใหม่จากฮังการี” ในเร็ววันนี้ หลังเพียง 7 นัดที่ลงเล่นในพรีเมียร์ลีก ในฐานะมนุษย์มูลค่า 60 ล้านปอนด์ “โดมินิก โซโบสไล” (Dominik Szoboszlai) สามารถทำให้เหล่า “เดอะค็อป” ฟุ้งจินตนาการเตลิดไปไกลถึงขั้นที่ว่า “เฮ้ย นี่มันเจอร์ราร์ด ลงมาเล่นเองหรือเปล่า?”

เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น...วันนี้ “เรา” ลองไปร่วมกันพยายามค้นหา “คำตอบ” ของคำถามที่ว่านี้กันดู  

...

** รู้หรือไม่ “โดมินิก โซโบสไล” เกิดวันที่ 25 ต.ค. ปี 2000 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่ สตีเวน เจอร์ราร์ด วัย 20 ปี เข้าสู่การค้าแข้งในฤดูกาลที่ 3 กับ ลิเวอร์พูล และฤดูกาลนี้เองที่ “สตีวีจี” ได้ก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลักของลิเวอร์พูลอย่างเต็มตัว โดยลงเล่นในลีกไป 33 นัด เป็นตัวจริงถึง 29 นัด รวม 2,523 นาที และยิงได้ถึง 7 ประตู กับ 2 แอสซิสต์ **   

หมายเลข 8 แห่งแอนฟิลด์ เทียบฟอร์ม สตีวีจี VS โซโบ : 

1. Steven Gerrard : 

สถิติการลงเล่น : 538 นัด 

ยิง : 125 ประตู 

แอสซิสต์ : 104 ครั้ง 

ค่าเฉลี่ยลงเล่นต่อนัด : 81 นาที 

ค่าเฉลี่ยยิงประตูสำเร็จ : 34%

ค่าเฉลี่ยยิงจุดโทษสำเร็จ : 78%

2. Dominik Szoboszlai :

สถิติการลงเล่น : 124 นัด 

ยิง : 29 ประตู 

แอสซิสต์ : 36 ครั้ง 

ค่าเฉลี่ยลงเล่นต่อนัด : 63 นาที 

ค่าเฉลี่ยยิงประตูสำเร็จ : 43%

ค่าเฉลี่ยยิงจุดโทษสำเร็จ : 87%

1. การยิงประตู : 

การตะบันยิงไกลจากแถวสองชนิดสุดแรงเกิดดูเหมือนจะเป็นอีกหนึ่งเครื่องหมายการค้าสำคัญลำดับต้นๆ เมื่อนึกถึง “เจอร์ราร์ด” โดยตลอด 19 ฤดูกาลในฐานะนักเตะอาชีพเฉพาะในลีก (538 นัด) สามารถทำประตูได้มากถึง 125 ประตู หรือเฉลี่ยฤดูกาลละ 6 ประตูเป็นอย่างน้อยในฐานะมิดฟิลด์  

จากทั้งหมด 125 ประตูนี้ มาจากการยิงเข้ากรอบทั้งหมด 498 ครั้ง หรือคิดเป็นค่าเฉลี่ยการยิงประตูสำเร็จ 34% ส่วนค่าเฉลี่ยการยิงจุดโทษสำเร็จอยู่ที่ 78% (ยิงไปทั้งหมด 42 ครั้ง เป็นประตู 33 ครั้ง)

ด้าน “สตาร์ฮังการี” ลงเล่นเฉพาะในลีกรวม 124 นัด ยิงประตูได้ 29 ประตู โดยมาจากการยิงเข้ากรอบทั้งหมด 93 ครั้ง หรือคิดเป็นค่าเฉลี่ยการยิงประตูสำเร็จ 43% ส่วนค่าเฉลี่ยการยิงจุดโทษสำเร็จ สูงถึง 87% (ยิงไปทั้งหมด 8 ครั้ง เป็นประตู 7 ครั้ง) 

...

การผ่านบอล : 

สถิติ 104 แอสซิสต์ ของ “สตีวีจี” บ่งชี้ได้อย่างชัดเจนว่า อดีตกัปตันผู้นี้ มีทั้งความแม่นยำในการผ่านบอลและการสร้างสรรค์เกมในระดับใด เห็นได้จากค่าความแม่นยำในการครอสบอลจากทางด้านข้างอยู่ที่ 23% และสามารถผ่านบอลยาวสำเร็จได้มากถึง 1,507 ครั้ง! และจ่ายบอล killer pass ได้สำเร็จอีก 195 ครั้ง!

ด้าน “จอมทัพฮังการี” สามารถทำแอสซิสต์ ตลอดการเล่นอาชีพได้แล้ว 36 ครั้ง และแม้ว่า 7 นัดแรกของฤดูกาลนี้กับสโมสรแห่งใหม่ “โซโบ” ยังไม่สามารถทำแอสซิสต์ให้กับเพื่อนร่วมทีมได้ หากแต่ในทีมหงส์แดงมีเพียง “โมฮาเหม็ด ซาลาห์” เท่านั้นที่สามารถ สร้างสรรค์โอกาสในการทำประตูจากการเล่น Open play ได้มากกว่า (โซโบ 7 ครั้ง ซาลาห์ 14 ครั้ง) 

ส่วนในลีกนั้น มีเพียง “เจมส์ แมดดิสัน” จอมทัพจากสเปอร์ฯ “โรดรี” (แมนฯ ซิตี้) และ "บูกาโย ซากา" (อาร์เซนอล) เท่านั้นที่มีสถิติเหนือกว่า หมายเลข 8 คนใหม่แห่งแอนฟิลด์ 

...

การเล่นเกมรับ : 

“สตีวีจี” นั้น นอกจากจะเหนือชั้นในเรื่องการเล่นเกมรุกแล้ว การเข้าปะทะคู่แข่งแบบแข็งกร้าวและวิ่งเต็มกำลังตลอดทั้งเกม คือ สิ่งที่ทำให้เขาแตกต่างจากมิดฟิลด์โดยทั่วๆ ไป ส่วนหากถามว่า สเกาเซอร์ผู้นี้ “ดุมากขนาดไหน” น่ะหรือ? ลองไปดูสถิตินี้ด้วยกัน   

ก็ไม่ได้มากมายอะไร...แค่ได้ใบเหลืองรวม 61 ใบ ใบแดง 6 ใบ ทำฟาวล์รวมกัน 210 ครั้ง ค่าเฉลี่ยเข้าสกัดคู่แข่งสำเร็จ 73%, Interceptions 356 ครั้ง, เอาชนะคู่ต่อสู้จากการดวล 1 ต่อ 1 มากถึง 1,271 ครั้ง บล็อกลูกยิงคู่ต่อสู้สำเร็จ 207 ครั้ง, เอาชนะคู่ต่อสู้เมื่อต้องเข้าปะทะแบบ 50/50 สูงถึง 191 ครั้ง!  

ในขณะที่นักเตะที่ขึ้นชื่อว่าเทคนิคความสามารถเฉพาะตัวล้ำเลิศ อย่าง “โดมินิก โซโบสไล” กลับสร้างความประหลาดใจให้กับเหล่าเดอะค็อปเป็นอย่างยิ่ง เพราะ 7 นัดแรกของการปรากฏตัว “โซโบ” โชว์การวิ่งกดดันคู่ต่อสู้ตามสไตล์เกเกนเพรซซิงของผู้เป็นเจ้านายได้อย่างดุดันและน่าประทับใจ แถมยังมีค่าเฉลี่ยเข้าสกัดคู่แข่งสำเร็จถึง 80% อีกด้วย!

...

ความเป็นผู้นำ : 

ปี 2003 “สตีวีจี” ได้สวมปลอกแขนเป็นกัปตันทีมลิเวอร์พูล ต่อจาก “ซามี ฮูเปีย” ตั้งแต่อายุได้เพียง 23 ปีเท่านั้น และจากนั้นเป็นต้นมาเขาก็ฉายภาพความเด็ดเดี่ยวรวมถึงการปกป้องลูกทีมในฐานะผู้นำมาตลอดการเล่นให้กับสโมสรแห่งนี้ 

ด้าน “โดมินิก โซโบสไล” ก็ดูจะไม่ต่างกัน เพราะหลังได้รับการยกย่องให้เป็น Wonder Kid ของวงการฟุตบอลฮังการีได้เพียงไม่นาน เขาก็ได้รับตำแหน่งกัปตันทีมชาติในขณะที่มีอายุได้เพียง 21 ปี ในช่วงปลายปี 2022 ที่ผ่านมาจากการโหวตของบรรดาเพื่อนร่วมทีมชาติ นอกจากนี้ “โซโบ” ยังถูกมอบบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางการเล่นของทีมชาติฮังการีทั้งหมดอีกต่างหาก! 

และยิ่งไปกว่านั้น....ในช่วงพรีซีซันหลังย้ายซบถิ่นแอนฟิลด์ “จอมทัพจากฮังการีผู้นี้” ยังโชว์การทดสอบความฟิตที่เหนือกว่าเพื่อนร่วมทีมทุกคนที่กลับมาเข้าค่ายซ้อมอีกด้วย! 

ในเมื่อเล่นได้ทั้งเกมรุก เกมรับ แถมจ่ายบอลแม่นยำและยิงประตูได้อย่างน่าหวาดผวาสำหรับฝ่ายตรงข้ามได้มากมายขนาดนี้ มันจะไปแปลกอะไรที่ “เดอะค็อป” ส่วนใหญ่อาจกำลังคิดว่า “สตีวีจีมาร์คทู” กำลังถือกำเนิดขึ้นแล้ว ณ ถิ่นแอนฟิลด์ในฤดูกาลนี้

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน 

อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติม :