เมื่อ “One more Thing” ที่มีชื่อว่า "Vision Pro" ของ Apple อาจกำลังกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ "สงครามแว่น VR" ในเร็วๆ นี้...

หลังไม่อาจเรียกเสียง Wow แบบดังๆ มาเนิ่นนานนับตั้งแต่การเปิดตัว AirPods ตั้งแต่เมื่อปี 2016 ในที่สุด Apple ภายใต้การนำของ "ทิม คุก" (Tim Cook) ก็สามารถทำให้คำว่า “One more Thing” กลับมาเซ็กซี่ได้อีกครั้ง ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในงาน "WWDC 2023" ที่มีชื่อว่า “Vision Pro” ส่วนราคา...แน่นอนว่าต้องแรงแบบพรีเมียมตามสไตล์ Apple ด้วยเหตุนี้เจ้า “Vision Pro” ที่ว่านี้จึงมีราคาสูงลิบถึง 3,499 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 121,530 บาท! 

โดย CEO ของ "Apple" ได้ให้คำจำกัดความสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ชิ้นนี้ว่า “Revolutionary Product” ที่เป็นการผสมผสานระหว่าง “โลกเสมือน” หรือ VR (Virtual Reality) และ “ความเป็นจริงเสริม ซึ่งเป็นการใช้เทคโนโลยีเสริมแต่งบนโลกจริง” หรือ AR (Augmented Reality) มารวมเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงวิธีที่ผู้ใช้งานจะใช้โต้ตอบกับเทคโนโลยี บุคคลอื่นๆ และโลกที่อยู่รอบๆ ตัวไปตลอดกาล  

...

และนี่อาจเป็น...ก้าวแรกสู่การต่อสู้อย่างดุเดือดในตลาดอุปกรณ์แว่นตา VR&AR ที่บรรดาบริษัท "Big Tech" ต่างๆ โดยเฉพาะ "Meta" ทั้งทุ่มทั้งเงิน (ก้อนโต) กำลังคน รวมถึง “เวลา” อันยาวนาน เพื่อเปิดทางไปสู่การครอบครองโลกใบใหม่ที่เรียกว่า “Metaverse” อีกด้วย 

ตลาดอุปกรณ์แว่นตา VR&AR น่าสนใจแค่ไหน? 

หากอ้างอิงจากรายงานวิจัยของ "Vantage Market Research" บริษัทวิจัยทางการตลาดชื่อดังระดับโลก ที่มีการเผยแพร่เมื่อปี 2022 ระบุว่า ขนาดของตลาดอุปกรณ์แว่นตา VR (Virtual Reality Headset Market) จะก้าวกระโดดจากมูลค่ารวม 7,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2022 (ปี 2023 คาดว่าน่าจะมีมูลค่ารวม 9,201 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ไปสู่มูลค่ารวม 59,630 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2030 โดยมีอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น หรือ CAGR ที่ 30.6% ระหว่างปี 2023-2030 

โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดอุปกรณ์แว่นตา VR ขยายตัวเป็นเพราะในปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยี Virtual Reality มาประยุกต์ใช้ทั้งในภาคการผลิต ค้าปลีก การศึกษา วงการแพทย์ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเกมอย่างกว้างขวาง ซึ่งแนวโน้มการลงทุนที่เกิดขึ้นนี้ ทาง "Vantage Market Research" เชื่อมั่นว่าจะมีผลต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอุปกรณ์แว่นตา VR ในอนาคตอย่างแน่นอน 

ข้อมูลจำนวนผู้ใช้งานอุปกรณ์แว่นตา VR :   

ตามรายงานของ "Vantage Market Research" ปัจจุบันมีผู้ใช้อุปกรณ์แว่นตา VR ทั่วโลกรวมกันประมาณ 171 ล้านคน (เฉพาะในสหรัฐฯ 65.9 ล้านคน หรือคิดเป็น 38%) โดยกลุ่มอายุที่ใช้อุปกรณ์ VR มากที่สุดคือ กลุ่มอายุ 25-34 ปี โดยคิดเป็นสัดส่วนถึง 23% 

ใครคือผู้ครองส่วนแบ่งการตลาด อุปกรณ์แว่นตา VR&AR ณ ปัจจุบัน : 

ตามรายงานของ “Counterpoint” บริษัทวิจัยการตลาดชื่อดังระดับโลก เมื่อเดือนมีนาคม ปี 2023 ระบุว่า จากการติดตามข้อมูลการจัดส่งอุปกรณ์ Extended Reality หรือ XR (VR&AR) ทั่วโลกในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2022 ระบุว่า Oculus ของ Meta สามารถครอบครองส่วนแบ่งการตลาดได้ถึง 81% รองลงมา คือ แว่นตา VR DPVR และแว่นตา VR PICO ที่ครองส่วนแบ่งเท่าๆกันคือ 7% ส่วนอีกประมาณ 5% เป็นแบรนด์อื่นๆ 

...

คู่แข่งสำคัญ ของ Vision Pro : 

ปฏิบัติการเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดความเป็นส่วนตัวของ "Apple" บนอุปกรณ์สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต เมื่อปี 2021 นอกจากจะสร้างผลกระทบต่อรายได้จากค่าโฆษณาของ "Facebook" มากกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว ยังได้สร้างความขุ่นข้องหมองใจให้กับ “มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก” CEO ของ Meta จนถึงขนาดหลุดปากออกมาว่า “แอปเปิลกำลังสร้างระบบการผูกขาดฝ่ายเดียว” และนี่คือ “รอยแค้น” ที่ยังคงฝังรากลึกจนถึงวันนี้  

ตัดภาพกลับมา ณ ปี 2023 เป็นที่ทราบกันนี้ว่า Meta กำลังเดินเครื่องอย่างจริงจังเพื่อเดินหน้าไปสู่ “โลกใบใหม่” ซึ่งในนิยามของ “ทิม คุก” เรียกมันว่า “Spatial Computing” ส่วน “มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก” เรียกมันว่า “Metaverse” หรือก็คือ...การผสมผสานระหว่าง VR และ AR นั่นเอง 

...

โดย “มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก” วางเข็มไปสู่ทิศทางนี้มาตั้งแต่เมื่อปี 2014 ด้วยการทุ่มเงินมากกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เข้าซื้อกิจการ Startup ผู้สร้าง VR Headset ที่มีชื่อว่า "Oculus" จากนั้นในปี 2021 เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความจริงจังที่จะไปสู่โลกใบใหม่ที่ว่านี้จึงได้เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Meta และจากนั้นเป็นต้นมาในแต่ละปี Meta ทุ่มเทเงินทุนหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐในแต่ละรายไตรมาสเพื่อผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยี VR&AR เพื่อทำให้วิสัยทัศน์นั้นเป็นจริง ด้วยเหตุนี้จึงไม่แปลกที่ Meta สามารถครอบครองส่วนแบ่งการตลาดชุดอุปกรณ์แว่นตา VR และ AR ณ ปัจจุบัน ผ่านแบรนด์ Meta Oculus 

โดยผลิตภัณฑ์ที่เป็น “เรือธงตัวล่าสุด” ที่ใกล้ออกสู่ท้องตลาด อย่าง “Meta Oculus Quest 3” ซึ่งมีราคารุ่นเริ่มต้นเพียง 499 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 17,331 บาท นั้น นอกจากมีประสิทธิภาพสูงแล้วยังมีราคาต่ำกว่าคู่แข่งรายอื่นๆ โดยเฉพาะ Vision Pro อีกด้วย!    

แบรนด์อุปกรณ์แว่นตา VR&AR ที่น่าสนใจ ณ ปัจจุบัน : 

1. บริษัทผู้พัฒนา : Microsoft

ผลิตภัณฑ์ : Trimble XR10 with HoloLen 2 

ราคา : 5,199 ดอลลาร์สหรัฐ (180,769 บาท) 

2. บริษัทผู้พัฒนา : Apple 

ผลิตภัณฑ์ : Vision Pro 

ราคา : 3,499 ดอลลาร์สหรัฐ (121,530 บาท)

3. บริษัทผู้พัฒนา : PICO 

...

ผลิตภัณฑ์ : PICO 4 Enterprise 256 GB 

ราคา : 1,069 ยูโร (39,822 บาท) 

4. บริษัทผู้พัฒนา : DPVR 

ผลิตภัณฑ์ : DPVR P1 Ultra 4K 

ราคา : 599 ดอลลาร์สหรัฐ (20,831 บาท) 

5. บริษัทผู้พัฒนา : SONY 

ผลิตภัณฑ์ : Play Station VR2 

ราคา : 549 ดอลลาร์สหรัฐ ราคาขายในประเทศไทยที่ศูนย์โซนี่สโตร์ 22,190 บาท 

6. บริษัทผู้พัฒนา : Meta 

ผลิตภัณฑ์ : Meta Oculus Quest 3 

ราคา : 499 ดอลลาร์สหรัฐ (17,331 บาท) 

** หมายเหตุอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 6 มิ.ย. 66 ** 

สำหรับกลุ่มตลาดพรีเมียม นั้น ผลิตภัณฑ์ที่มีราคาใกล้เคียงกับ “Vision Pro” คือ Trimble XR10 with HoloLen 2 ของ ไมโครซอฟท์ (Microsoft) ซึ่งมีราคาสูงถึง 5,199 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 180,769 บาท อย่างไรก็ดี สำหรับรุ่นนี้ถูกออกแบบมาโดยมีเป้าหมายชัดเจนว่าเน้นการใช้งานในอุตสาหกรรมการผลิต หรือการดูแลสุขภาพเป็นหลัก ซึ่งแตกต่างจากกรณีของ “Vision Pro” ที่ ณ เวลานี้ (6 มิ.ย. 66) Apple ยังให้ข้อมูลเพียงว่า “Vision Pro” เน้นการใช้งานภายในบ้านเป็นหลัก

อย่างไรก็ดี สิ่งสำคัญที่ต้องไม่ลืมคือ แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ “ไมโครซอฟท์” จะไม่พยายามหาทางเข้าเจาะตลาดอุปกรณ์แว่น VR&AR สำหรับบุคคลทั่วไป โดยเฉพาะ “อุตสาหกรรมเกม” นั่นเป็นเพราะพวกเขามีเครื่องคอนโซลยอดนิยมอย่าง Xbox รวมถึงเพิ่งทุ่มเงินก้อนโตถึง 69,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เข้าซื้อกิจการบริษัทเกมยักษ์ใหญ่ที่มีแฟรนไชส์ปั๊มเงินบรรดาเกมเมอร์อย่าง “Call of duty” ซึ่งเป็นเกมที่เหมาะเสียเหลือเกินกับอุปกรณ์แว่น VR&AR อยู่ในมือแบบนี้ 

ส่วนอีกหนึ่ง Big Tech อย่าง Google ที่แม้เคยล้มเหลวกับ "Google Glass" อุปกรณ์ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกนิตยสาร Time ยกย่องให้เป็น "สิ่งประดิษฐ์แห่งปี" อีกทั้งยังเคยถูกมองว่ามันอาจก้าวขึ้นมาแทนที่สมาร์ทโฟนได้ ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในปี 2012 ด้วยราคา 1,500 ดอลลาร์สหรัฐ (52,185 บาท) ก่อนจะมีการวางจำหน่ายให้กับสาธารณชนในปี 2014 อย่างไรก็ดี หลังถูกจุดประกายจากความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว รวมถึงไม่สามารถมีแรงดูดมากพอให้กับบรรดานักพัฒนาและผู้บริโภคมันจึงค่อยๆ กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ถูกลืมไปในที่สุดนั้น 

ล่าสุด มีรายงานว่า Google กำลังซุ่มพัฒนาอุปกรณ์แว่น VR&AR ที่มีชื่อรหัสว่า "Project Iris" และมีแผนจะวางจำหน่ายในปี 2024 ด้วย ฉะนั้น “สงคราม VR” ที่ดุเดือดเร้าใจนับจากนี้คงจะเป็นที่น่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง!

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน 

อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง :