การต้องเผชิญหน้ากับฤดูหนาวอันหนาวเหน็บสุดขั้วหัวใจจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ บางทีนี่อาจคือ “คำถาม” ที่ต้องการ “คำตอบ” มากที่สุดในเวลานี้ หลังปิดไตรมาสที่ผ่านมา "สินทรัพย์ดิจิทัล" ที่ POP ที่สุดอันดับ 1 และ 2 ของโลก อย่าง บิตคอยน์ (Bitcoin) หรือ BTC และ อีเทอร์เรียม (Ethereum) หรือ ETH มีมูลค่าลดลงมากถึง 58% และ 69.3% ตามลำดับ โดยถือเป็นสถิติการร่วงลงรายไตรมาสสำหรับ BTC ที่หนักที่สุดนับตั้งแต่ปี 2011 ซึ่งในครั้งนั้นร่วงลงไปหนักถึง 68.1% ส่วน ETH นี่คือการร่วงลงหนักที่สุดในประวัติศาสตร์ นับตั้งแต่มีการเปิดตัวในปี 2015 เป็นต้นมา ตามข้อมูลของ Coin Metrics

เช่นนั้นแล้วในช่วงไตรมาสที่ 3 ปีนี้ สถานการณ์ของ ทั้ง BTC และ ETH จะกระเตื้องขึ้นได้มากน้อยเพียงใด วันนี้ "เรา" ลองไปฟังนานาทัศนะจากบรรดานักวิเคราะห์ในต่างประเทศกันดู

...

การเคลื่อนไหวของ "บิตคอยน์" ในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ถือเป็นหนึ่งในเดือนที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของ BTC โดยมีมูลค่าลดลงถึง 38% ตลอดทั้งเดือน การอ่อนค่าลงชนิดเลิกฝันถึงการทำกำไร ทำให้บรรดาผู้ถือระยะสั้นและผู้มาใหม่ต่างเมินหน้านี้ ยกเว้นเพียงแต่ บรรดาผู้อยู่บนดอยอันหนาวเหน็บ อย่างเหล่า HODLers เท่านั้น!

สำหรับการซื้อขายในปัจจุบัน ลดลงถึง 71.2% จากราคาสูงสุดตลอดกาลที่ 69,000 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่การเคลื่อนไหวยังคงรักษาระดับสูงสุดที่ 21,600 ดอลลาร์สหรัฐ และต่ำสุดที่ 18,550 ดอลลาร์สหรัฐ

ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession)

ขณะที่การเริ่มต้นในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ ยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกที่มีนัยสำคัญต่อความเชื่อมั่นของตลาด และบรรดานักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังเชื่อว่า ทั้ง BTC และ ETH น่าจะร่วงลงอีกในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า โดยมีปัจจัยสำคัญมาจาก สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจมหภาคในการตลาดการเงินที่ยังคงย่ำแย่

ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด ยังคงมีท่าทีที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ซึ่งมาตรการนี้จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการเติบโตและสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง โดยเฉพาะตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล นอกจากนี้ "ภาวะเศรษฐกิจถดถอย" (Recession) ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งถือเป็นประเด็นที่บรรดาเทรดเดอร์และนักลงทุนหวาดวิตก จะยิ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ คริปโตเคอร์เรนซี ต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบากในอนาคตอันใกล้นี้อีกด้วย

โดยประเด็นนี้สอดคล้องกับที่ Nomura Holdings Inc. บริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำของประเทศญี่ปุ่น ที่ออกบทวิเคราะห์เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาว่า เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลัก เช่น สหรัฐฯ และยูโรโซน กำลังเข้าสู่ภาวะถดถอยในอีก 12 เดือนข้างหน้า และในปี 2023 จะหดตัวลง 1% จากมาตรการเข้มงวดทางการเงินและค่าครองชีพที่สูงขึ้น และจะผลักดันให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะชะลอตัวลงพร้อมกันในที่สุด

โดย Nomura Holdings Inc. คาดว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะถดถอยแบบตื้นแต่ยาวนานถึง 5 ไตรมาส โดยจะเริ่มตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ส่วนยูโรโซน อาจถดถอยรุนแรงกว่า หากรัสเซียตัดสินใจหยุดส่งก๊าซธรรมชาติไปให้ยุโรปแบบสิ้นเชิง ขณะที่กลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดกลาง เช่น ออสเตรเลีย, แคนาดา, เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น 

...

โดยเกาหลีใต้ มีความเสี่ยงสูงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยลึกกว่า หากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้ฟองสบู่ตลาดอสังหาริมทรัพย์แตก จนกระทั่งทำให้เศรษฐกิจอาจหดตัวลงได้ถึง 2.2% ในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ เช่นเดียวกับ ญี่ปุ่น ที่อาจต้องเผชิญหน้ากับภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจที่รุนแรง จากนโยบายกลับมาเดินเครื่องเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ล่าช้า

ซึ่งไม่ต่างจากความเห็นของบรรดานักวิเคราะห์หลักทรัพย์ส่วนใหญ่ ที่มองว่าไปในทิศทางเดียวกันว่า เศรษฐกิจของยูโรโซน, สหราชอาณาจักร, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ออสเตรเลีย และแคนาดา จะเข้าสู่ภาวะถดถอยไปพร้อมๆ กับสหรัฐฯ

นั่นเป็นเพราะ ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ มีความจำเป็นต้องใช้มาตรการที่เข้มงวดเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นในเรื่องการควบคุม “เงินเฟ้อ” ซึ่งยังคงมีแนวโน้มว่าจะยังสูงขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าอาจต้องแลกมากับ “เศรษฐกิจที่ถดถอยลง” ในปี 2023 ก็ตาม

ฉะนั้น เมื่อนำสถานการณ์ ณ ปัจจุบันของ BTC และ ETH ที่มีมูลค่าลดลงมากถึง 58% และ 69.3% มาประกอบกับ ข้อมูลในอดีตที่แสดงให้เห็นว่า “ภาวะตลาดหมีที่ซึมเซา” ในช่วงก่อนหน้านี้ เมื่อปี 2011, 2014 และ 2018 ซึ่งเคยทำให้ BTC ร่วงลงถึง 68%, 40% และ 2.8% ในช่วงไตรมาส 3 ของปีมาแล้ว มันจึงน่าจะบ่งบอกได้กลายๆ แล้วว่าอนาคตในช่วง ไตรมาส 3 ปีนี้ ของทั้ง บิตคอยน์ และ อีเทอร์เรียม น่าจะ “ไม่แจ่มใสมากนัก” สำหรับนักลงทุนและ เหล่า HODLers ต่อไป

...

ส่วนหลังจากนั้น ทั้ง BTC และ ETH จะฟื้นตัวได้หรือไม่ บรรดานักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองตรงว่า การฟื้นตัวของราคา บิตคอยน์ และ อีเทอร์เรียม จะขึ้นอยู่กับสภาวะเศรษฐกิจมหภาคและเหล่า Strong Hands ทั้งหลายในตลาดว่าจะสามารถผลักดันราคาไปสู่การฟื้นตัวได้หรือไม่

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน

กราฟิก : Anon Chantanant

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :

...