5 รพ. ริมชายแดน ยันดูแลผู้ลี้ภัยพม่าตามหลักมนุษยธรรม หลังอเมริกาตัดงบลอยแพ "เอ็นจีโอ" จนต้องปิดหน่วยรักษาพยาบาลในค่าย ผอ. โรงพยาบาลอุ้มผาง ห่วงคนไข้อาการหนักเพิ่ม ชี้ศูนย์บ้านแม่หละ จ.ตาก กว่าสามหมื่นชีวิตหนักสุด ระยะยาวงบเสี่ยงติดลบ

สะเทือนระบบสาธารณสุขไทย หลังสหรัฐอเมริกา ตัดงบช่วยเหลือองค์กรระหว่างประเทศด้านดูแลสุขภาพผู้ลี้ภัย ทำให้โรงพยาบาล 7 แห่งในพื้นที่พักพิงผู้หนีภัยสู้รบชายแดนไทย-เมียนมา ต้องปิดตัวลง จนโรงพยาบาลของรัฐไทยตามริมชายแดนต้องทำหน้าที่แทนด้านมนุษยธรรม

ด้วยนโยบายดังกล่าวของสหรัฐ ทำให้หน่วยงานคณะกรรมการกู้ภัยระหว่างประเทศ (International Rescue Committee - IRC) ที่เป็น "เอ็นจีโอ" แกนหลักที่ให้บริการด้านสุขภาพภายใต้ IRC ในศูนย์พักพิงชั่วคราวฯ ถูกระงับการทำงาน และต้องส่งไม้ต่อให้กับโรงพยาบาลรัฐไทย 5 แห่ง ประกอบด้วย โรงพยาบาลแม่สอด โรงพยาบาลแม่ระมาด โรงพยาบาลท่าสองยาง โรงพยาบาลพบพระ และโรงพยาบาลอุ้มผาง ที่ตั้งอยู่ริมชายแดนไทยฝั่งทิศตะวันตก โดยตอนนี้อยู่ในขั้นตอนประชุมแบ่งงานรับหน้าที่ดูแล แต่สิ่งที่น่าห่วงคือ งบประมาณที่โรงพยาบาลริมชายแดนต้องแบกรับหลังจากนี้

...

นพ.วรวิทย์ ตันติวัฒนทรัพย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุ้มผาง จ.ตาก เปิดเผยข้อมูลว่า เดิมการดูแลด้านสุขภาพในศูนย์พักพิงผู้หนีภัยสงครามที่ดูแลโดยคณะกรรมการกู้ภัยระหว่างประเทศ (International Rescue Committee – IRC) จะมีโรงพยาบาลขนาดเล็กในศูนย์ ซึ่งดูแลผู้ป่วยที่ไม่มีอาการหนัก แต่ถ้าในรายที่มีอาการหนัก จะมีการส่งต่อให้กับโรงพยาบาลริมชายแดน

การถอนทีมออกมาของคณะกรรมการกู้ภัยระหว่างประเทศ หรือ IRC ทำให้การทำหน้าที่ในการตรวจโรคติดต่อ เช่น วัณโรค และการรับยาผู้ป่วยเรื้อรังในค่าย ไม่มีผู้ทำหน้าที่ เลยทำให้โรงพยาบาลรัฐของไทยต้องเข้าไปทำหน้าที่แทน ซึ่งจริงแล้วการมีทีม IRC ช่วยเหลือผู้ลี้ภัยดีกว่าไม่มี โดยที่ผ่านมาก็ใช้เงินที่ได้รับบริจาคจากหน่วยงานต่างชาติเป็นหลัก

หลังระงับช่วยเหลือด้านสาธารณสุขแก่ผู้ลี้ภัยของสหรัฐ ทำให้คนไข้ที่มีอาการหนักในศูนย์ เข้ามารักษาที่โรงพยาบาลอุ้มผางมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และต้องเดินทางมาเอง มีโอกาสที่ผู้ป่วยหนักจะเสียชีวิตระหว่างเดินทางมาโรงพยาบาล เช่น เมื่อคืนก่อน มีหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่สามารถคลอดลูกได้เอง ต้องเช่ารถมายังโรงพยาบาล ต่างจากเดิมที่มีรถของ IRC มาส่งที่โรงพยาบาล

นพ.วรวิทย์ ตันติวัฒนทรัพย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุ้มผาง จ.ตาก
นพ.วรวิทย์ ตันติวัฒนทรัพย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุ้มผาง จ.ตาก

ตอนนี้ โรงพยาบาลอุ้มผางต้องดูแลผู้ลี้ภัยประมาณ 7,500 คน แต่ที่น่าห่วงคือ ศูนย์บ้านแม่หละ อ.ท่าสองยาง จ.ตาก ที่มีอยู่กว่า 30,000 คน ตอนนี้ 5 โรงพยาบาลในพื้นที่เริ่มประชุมแบ่งงานกัน โดยโรงพยาบาลแม่ระมาด โรงพยาบาลท่าสองยาง แบ่งการดูแลคนละครึ่งคือ 15,000 คน ซึ่งจะมีทีมแพทย์เข้าไปดูแลในศูนย์ เพื่อป้องกันโรคติดต่อ ส่วนโรงพยาบาลแม่สอด โรงพยาบาลพบพระ และโรงพยาบาลอุ้มผาง เป็นกำลังเสริมในการช่วยดูแล

“จากการประชุมเบื้องต้นกับทีม IRC ขณะนี้เหมือนเราต้องเข้าไปเทคโอเวอร์ โดยอาคารที่ใช้ในการรักษามีอยู่เดิมแล้ว แต่สิ่งที่เราต้องทำคือ การป้องกันไม่ให้มีการแพร่ระบาดของโรค ซึ่งการทำงานเดิมใช้ต้นทุนทำงานต่ำ ส่วนหนึ่งก็มีการจ้างงานคนในค่ายที่มีความรู้เรื่องสาธารณสุขให้ดูแลกันเอง”

...

สาเหตุไทยต้องเข้าไปดูแลศูนย์ลี้ภัย

นพ.วรวิทย์ มองว่า เมื่อไม่มีทีมงานของ IRC จำเป็นอย่างยิ่งที่หน่วยงานสาธารณสุขไทยต้องเข้าไปดูแลแทน เพราะในค่ายอาจมีการแพร่ระบาดของโรคติดต่อ เช่น วัณโรค ที่แพร่กระจายสู่คนไทยตามแนวชายแดนได้ เพราะถ้าคิดเฉลี่ยต้นทุนการรักษาผู้ป่วยวัณโรคธรรมดา 1 คนใช้การรักษา 6 เดือน เงินรักษาประมาณ 3,000 – 4,000 บาท แต่ถ้าปล่อยไว้ไม่ทำการรักษา จะดื้อยา ต้องใช้เงินรักษากว่า 200,000 บาท ซึ่งในเชื้อที่ดื้อยา เมื่อแพร่กระจายจะมีความรุนแรงกว่าปกติ ดังนั้นถ้าไทยไม่เข้าไปจัดการ จะส่งผลกระทบหนักต่อคนไทยในอนาคต

อีกตัวอย่างคือ การแพร่ระบาดของอหิวาตกโรค ในพื้นที่ศูนย์พักพิงฝั่งตรงข้ามแม่สอด จ.ตาก ช่วงธันวาคม ปี 67 ถ้าระบบสาธารณสุขไทยไม่เข้าไปควบคุม ทุกอย่างก็ไม่จบ มีโอกาสแพร่ระบาดมาไทยได้รุนแรง

...

จากที่คุยกับทีมงานทั้ง 5 โรงพยาบาล ทุกคนต่างทราบดีว่า นี่เป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้จากปัจจัยภายนอก เราคาดคะเนไว้แล้วว่าสักวันต้องเกิดขึ้น เมื่อเกิดจริงทุกคนก็พยายามตั้งสติ แบ่งสรรงานร่วมกันเท่าที่ทำได้ แต่ในการวางแผนระยะยาว ได้เรียนผู้บริหารถึงแนวทางตั้งกองทุนเพื่อช่วยระบบสาธารณสุขตามแนวชายแดน เพื่อช่วยเหลือกลุ่มคนที่ไม่มีสัญชาติไทย และเป็นโรคติดต่อร้ายแรง เพื่อป้องกันผลกระทบสู่คนไทย

“ทีมแพทย์เราเป็นเหมือนทหารแนวหน้า ที่ขออาวุธในการไปสู้รบกับโรคภัย ที่ทำให้เกิดโรคติดต่อ และแพร่ระบาดเข้ามาไทยได้ โดยทีมแพทย์พยายามบริหารจัดการให้ใช้งบประมาณน้อยที่สุด”

ที่ผ่านมา ต้องขอขอบคุณผู้ที่มีจิตศรัทธาบริจาคให้การช่วยเหลือ ทั้งเรื่องทุนทรัพย์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลริมชายแดน ตอนนี้ทั้ง 5 โรงพยาบาล กำลังอยู่ในช่วงการวางแผนช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมต่อไป.