ไทยดันไม่ขึ้น ปี 67 เกิดต่ำกว่า 5 แสนคน สูงวัยเพิ่มขึ้น 20% แม้มีความพยายามผลักดันมีลูกเป็นวาระแห่งชาติ แต่กลับไปไม่ถึงฝั่ง นักวิชาการชี้ แรงงานข้ามชาติ มีทักษะสูงยังจำเป็น หวังรัฐบาลปรับเกณฑ์ผู้สูงอายุเป็น 65 ปี ชี้ผลักดันให้ผู้หญิงสูงวัยมีงานทำมากขึ้นด้วยสวัสดิการ

สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดรายงานสถานการณ์ประชากรของประเทศไทย ปี 2567 บนเวทีแถลงข่าว “เด็กเกิดน้อยและสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์” ปี 2567 จำนวนเด็กไทยเกิดต่ำสุดเป็น ประวัติการณ์ ต่ำกว่า 5 แสนคนต่อปี ส่งผลให้จำนวนประชากรไทยลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 4

“รศ.ดร.เฉลิมพล แจ่มจันทร์” ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล วิเคราะห์ว่า จากข้อมูลของสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เผยแพร่ข้อมูลปี 2567 พบว่า ประชากรในประเทศไทยมีจำนวนทั้งสิ้น 65,951,210 คน มีเด็กเกิดใหม่เพียง 462,240 คน ส่วนผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 571,646 คน

ส่งผลให้อัตราเพิ่มตามธรรมชาติอยู่ที่ -0.17% ติดลบต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 อัตราเจริญพันธุ์รวม (Total Fertility Rate - TFR) ซึ่งหมายถึงจำนวนลูกเฉลี่ยที่ผู้หญิงไทยคนหนึ่งจะมีตลอดช่วงวัยเจริญพันธุ์ ในปี 2567 อยู่ที่ 1.0 ต่ำกว่าระดับทดแทนประชากรที่ 2.1 และใกล้เคียงกับประเทศที่เผชิญสถานการณ์การเกิดที่ต่ำมาก เช่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ จีน

...

ทั้งนี้ ประเทศไทยได้ก้าวสู่ “สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์” แล้ว โดยมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปเกิน 20% ของประชากรทั้งหมด เมื่ออัตราเจริญพันธุ์รวมต่ำกว่า 1.5 ประสบการณ์จากหลายประเทศพบว่าการกระตุ้นการเกิดนั้นเป็นไปได้ยาก และมีแนวโน้มในเจเนอเรชันถัดไปอาจลดลงไปอีก ซึ่งรัฐบาลก็ยังจำเป็นต้องดำเนินมาตรการสนับสนุนในเรื่องนี้ เพื่อชะลอการเข้าสู่สังคมสูงวัย ให้ประเทศมีเวลาในการเตรียมความพร้อมด้านสวัสดิการ ปรับสภาพแวดล้อมเพื่อการอยู่ร่วมกันของประชากรทุกช่วงวัย

5 ทางรอดด้านประชากรไทย

ด้วยอัตราการเกิดของประชากรที่ลดลง “รศ.ดร.เฉลิมพล” มองถึงทางรอดว่า 1. ผู้สูงอายุและผู้หญิงจะเป็นกุญแจสำคัญที่ต้องสนับสนุนบทบาทและโอกาสในการมีส่วนร่วมทางสังคมในกำลังแรงงานให้เพิ่มขึ้น ปรับปรุงเงื่อนไขและสภาพแวดล้อมในการทำงานเพื่อเอื้อให้เป็นพลัง ไม่ใช่ผู้พึ่งพิง

2. เด็กเป็นทรัพยากรล้ำค่า การลงทุนในเด็กต้องเพิ่มขึ้น ทั้งด้านการศึกษา สุขภาพ และสวัสดิการต่าง ๆ ลดความเครียดทางเศรษฐกิจของครอบครัว สนับสนุนสวัสดิการในสถานที่ทำงานเพื่อช่วยให้พ่อแม่มีเวลาและความพร้อมในการเลี้ยงดูบุตร ส่งเสริมการเกิดในเชิงคุณภาพและให้คุณค่าแก่บทบาทของพ่อแม่ในสังคม

3. การย้ายถิ่นทดแทน หรือการนำเข้าแรงงาน (Replacement migration) หรือการทดแทนแรงงานไทยที่จะลดลงด้วยกลุ่มประชากรข้ามชาติ โดยเฉพาะการดึงดูดแรงงานข้ามชาติที่มีทักษะ เด็กข้ามชาติที่เกิดและเติบโตในไทย เป็นอีกทางเลือกเชิงนโยบายและโอกาสที่ต้องพิจารณา เพื่อเร่งให้เกิดการกำหนดมาตรการ แนวทางและกลไกที่ชัดเจนในการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติกลุ่มต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ

4. เทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ (AI) อีกหนึ่งกุญแจของโอกาสเพื่อทดแทนประชากรที่ลดลงในด้านปริมาณ ด้วยคุณภาพและผลิตภาพแรงงานที่สูงขึ้นของประชากรในทุกช่วงวัย รวมถึงเด็กเจนเนอเรชันเบต้า (เกิดปี 2568 เป็นต้นไป) ที่เกิดมาพร้อมการพัฒนาที่ก้าวกระโดดของ AI ในทุกมิติทางสังคมและวิถีชีวิต

5. พลิกวิกฤตเกิดน้อยเป็นโอกาสต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเฉพาะ SDGs ด้านความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและสภาพความเป็นอยู่ “สิ่งสำคัญคือการปรับตัวและเตรียมรับมือในช่วงของการเปลี่ยนผ่าน”

สถานการณ์และทิศทางนโยบาย

“รศ.ดร.เฉลิมพล” กล่าวว่า ผลสำรวจจากสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ระหว่างวันที่ 28 ตุลาคม - 20 ธันวาคม 2567 ในกลุ่มตัวอย่างที่เป็นประชาชนไทย อายุ 18 ปีขึ้นไปจำนวน 1,042 คน พบว่า 71% มองว่าปัญหาเด็กเกิดน้อยเป็นวิกฤตของประเทศ แต่มีเพียง 44% เท่านั้น ที่สนับสนุนนโยบายส่งเสริมการเกิด โดยผู้หญิง 42% เห็นด้วยน้อยกว่าผู้ชาย 52% ทั้งนี้ 66% สนับสนุนการปรับนิยามผู้สูงอายุจาก 60 ปีเป็น 65 ปี ส่วน 64% เห็นด้วยกับการขยายอายุเกษียณเป็น 65 ปี

...

ผลสำรวจสะท้อนให้เห็นว่า สังคมไทยพร้อมปรับตัวรับการเป็นสังคมสูงวัย แต่การเพิ่มจำนวนเด็กเกิดตามเป้าหมายยังคงเป็นความท้าทายสำคัญ รัฐบาลจึงจำเป็นต้องเร่งผลักดันนโยบายเพื่อรับมือกับสถานการณ์สังคมสูงวัยที่อัตราจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก อันเนื่องจากสึนามิประชากรรุ่นเกิดเกิน 1 ล้านคนต่อปี (ประชากรที่เกิดในช่วงปี 2506-2526) และเตรียมพร้อมระบบสวัสดิการให้ตอบโจทย์ทุกช่วงวัย

หนึ่งในนโยบายสังคมด้านสุขภาพที่สำคัญ คือ "พินัยกรรมชีวิต" (e-Living Will) ซึ่งเป็นสิทธิสำคัญที่ช่วยให้บุคคล โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุสามารถแสดงเจตนารมณ์ไม่รับการรักษาที่ยืดชีวิตในภาวะไร้คุณภาพ โดยได้รับการคุ้มครองตาม พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 มาตรา 12 การส่งเสริมความรู้เรื่องนี้ช่วยให้ผู้สูงอายุวางแผนการรักษาตามความต้องการ ลดความขัดแย้งในครอบครัว และรักษาศักดิ์ศรีชีวิตในช่วงท้ายได้อย่างสง่างาม.