เปิดปมพิรุธ คดีภรรยา “อดีตบิ๊กตำรวจ” ลักทรัพย์ แกะรอยถุงสายรุ้ง อดีตนายตำรวจมอง ต้องหาหลักฐานที่มาการซื้อทอง ส่วนคีย์การ์ดคอนโด อาจไม่เข้าข่ายบุกรุก หากยืนยันได้ว่าไม่ได้ขโมยมา

ประเด็นร้อนภรรยาอดีต “บิ๊กตำรวจ” ถูกกล่าวหาลักทรัพย์และบุกรุกเคหสถาน เมื่อวันที่ 23 ต.ค. 67 สาวรายหนึ่ง ที่เป็นอาจารย์พิเศษโรงเรียนนายร้อยตำรวจ เข้าแจ้งความที่สถานีตำรวจนครบาลพระโขนง กรณีทรัพย์สินสูญหายมูลค่าเกือบ 6 ล้านบาท และได้นำของกลางที่ผู้ถูกกล่าวหาทิ้งไว้ในคอนโดเกิดเหตุ ย่าน สุขุมวิท 101 ประกอบด้วยนาฬิกาหรูยี่ห้อ ปาเต๊ะ ฟิลลิปส์ 2 เรือน กระเป๋าสะพาย และเอกสารของผู้ถูกกล่าวหาหลายรายการ

ผู้เสียหายอ้างว่า ทรัพย์สินที่ถูกลักไป เป็นสินสอดที่จะใช้แต่งงานกับสามีที่เป็นนายตำรวจ ในปีหน้า ซึ่งหลังจากถูกลักไป ได้พยายามติดต่อผู้ที่ถูกกล่าวหาหลายหลัง เพื่อนำทรัพย์สินมาคืน แต่ก็เงียบหาย โดยในวันเกิดเหตุมารู้ว่าผู้ถูกกล่าวหามาที่คอนโดดังกล่าว เพราะหลานได้เข้ามาที่คอนโด และพบว่าหญิงรายดังกล่าวได้ถือคีย์การ์ดเข้าห้อง พอมาตรวจสอบพบว่า คีย์การ์ดคอนโดของเธอหายไป

...

ภายหลังผู้เสียหายได้ไปออกรายการทีวีชื่อดัง ทำให้ผู้ถูกกล่าวหา ที่เป็นภรรยาบิ๊กตำรวจ เดินทางเข้ามาให้ปากคำ ที่สถานีตำรวจ สน.พระโขนง หลังให้ปากคำกว่า 4 ชั่วโมง จึงได้ยื่นขอประกันตัว ทางทนายให้ข้อมูลว่า เตรียมที่จะยื่นฟ้องสาวคนที่แจ้งความ กรณีทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง

กรณีนี้ถูกตั้งข้อสังเกตจากชาวโซเชียล ถึงข้อพิรุธ โดยเฉพาะถุงสายรุ้งทั้ง 5 ใบ ที่ผู้เสียหายอ้างว่า ภรรยาบิ๊กตำรวจมาฝากไว้ที่คอนโด ขณะเดียวกันคีย์การ์ดของคอนโดดังกล่าว ทำไมถึงไปอยู่ที่ผู้ถูกกล่าวหาได้

ปมพิรุธ ที่มาทองต้องตรวจสอบ

"พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ" อดีตผู้บังคับการกองปราบปราม วิเคราะห์หลักฐานสำคัญคดีนี้ว่า ถุงสีรุ้งทั้ง 5 ใบ ถือเป็นหลักฐานสำคัญ ที่ตำรวจที่ทำการสอบสวนต้องพิสูจน์ทราบให้ชัดเจน ว่าตัวเจ้าของคอนโดทำไมถึงไม่เปิดดูว่าของในถุงทั้งหมดเป็นอะไร ซึ่งถ้าให้ชัดเจน ต้องมีรูปถ่ายของสิ่งที่อยู่ด้านใน เพราะตัวเองเป็นเจ้าของบ้าน มีสิทธิที่จะเปิดดูได้

อีกหลักฐานสำคัญ ที่อ้างว่า ผู้บุกรุกลืมกระเป๋าไว้ที่คอนโดดังกล่าว ภายในมีนาฬิกาหรู 2 เรือน กับเอกสารต่างๆ เป็นประเด็นที่น่าสนใจ ที่จะต้องมีการพิสูจน์ทราบว่า เป็นของผู้ถูกกล่าวหาจริงหรือไม่ และจะสอดคล้องกับคลิปที่ผู้เสียหายอ้างไว้หรือไม่

กรณีของที่หาย พนักงานสอบสวนต้องทำการเจรจากับทั้งสองฝ่าย ว่าของที่หายดังกล่าวแท้จริงแล้วเป็นของใครกันแน่ เพราะตามที่ผู้เสียหายระบุว่าเป็นของสามี โดยเฉพาะทองคำน้ำหนัก 120 บาท ต้องไปสืบหาว่าซื้อมาจากร้านไหน และใครเป็นเจ้าของที่แท้จริง

“น่าสนใจว่ากระเป๋าที่ว่าลืมไว้ มีนาฬิกาหรู 2 เรือน ซึ่งนาฬิกาแพงขนาดนั้น ไม่น่าจะใช่เรื่องปกติที่คนทั่วไปจะลืมไว้ ส่วนของคีย์การ์ดเข้าห้อง อาจไม่เข้าข่ายการบุกรุก เพราะถ้าพิสูจน์ได้ว่าคีย์การ์ดไม่ได้ขโมยมา เนื่องจากกรณีนี้ก็ไม่ได้เป็นการหักหาญเพื่อให้ได้มา”

คดีนี้มีหลายข้อพิรุธ อาจจะโอละพ่อ แต่เรื่องนี้ก็อาจมีปมในเรื่องโกรธเคืองกันเป็นหลัก ซึ่งไม่น่าเกี่ยวกับโยงคดีของอดีตบิ๊กตำรวจ

ทั้งนี้ ทรัพย์สินที่อ้างว่าหายไปประกอบด้วย ทองคำน้ำหนักรวม 120 บาท และเงินสด 600,000 บาท .