เปิดเบื้องหลังเด็ก 9 เดือนหาย หลังเจอน้อง ตำรวจพาไปส่งบ้านที่อยุธยา ถึงกับผงะ! พบลูกหลานอยู่รวมกันกว่า 30 คน ห่วงสวัสดิภาพเด็ก ผลิตลูกหลาน เร่ขายของตามงานวัด เรียกความสงสาร รายได้สูงจนซื้อที่ดินได้
กลายเป็นประเด็นที่มีการแชร์บนโลกโซเชียลจำนวนมาก กรณีแม่รายหนึ่งใน จ.พระนครศรีอยุธยา โพสต์ตามหา "น้องเฟิร์น" ลูกสาววัย 9 เดือน ถูกลูกพี่ลูกน้อง หญิงวัย 24 ปี มีอาการสติไม่ดี อุ้มหายออกจากบ้าน ตั้งแต่ 19 ก.ย. 67 หลังจากโพสต์ มีพลเมืองดีแจ้งว่า เห็นคนลักพาตัวเด็กอยู่ในปั๊มแก๊ส จ.สิงห์บุรี ราว 2 ทุ่ม ของวันเดียวกัน
ด้วยความที่กลัวลูกได้รับอันตราย จึงขอความช่วยเหลือจาก นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี เมื่อวันที่ 20 ก.ย.67 จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดตามหาหญิงต้องสงสัย จนพบตัวเธอและเด็ก 9 เดือน ช่วงเช้าวันที่ 21 ก.ย.67 ที่ จ.นครสวรรค์ ซึ่งพบกำลังอุ้มเด็กเดินขายลูกโป่งอยู่ในตลาดตัวเมืองนครสวรรค์
จากนั้นนำเด็กวัย 9 เดือน และผู้ลักพาตัวมาที่อยุธยา แม่เด็กไม่ติดใจเอาความ โดยผู้ที่ลักพาตัวให้ข้อมูลว่า วันที่พาน้องออกจากพื้นที่ เนื่องจากทะเลาะกับแฟน และมีความเอ็นดูน้องอยู่แล้ว เลยตัดสินใจอุ้มพาออกมาเพียงลำพัง
...
แต่เรื่องราวนี้กลับมีข้อพิรุธ เมื่อเจ้าหน้าที่พาน้องวัย 9 เดือนไปส่งที่บ้านใน จ.พระนครศรีอยุธยา พบว่าในพื้นที่บ้านมีเครือญาติอยู่อาศัยกว่า 30 คน พบว่าหญิงหลายคนมีบุตรตั้งแต่อายุยังน้อย ส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพพาเด็กไปเร่ขายของตามงานวัด และตามงานเทศกาล ในพื้นที่อยุธยาและใกล้เคียง จนสามารถซื้อที่ดินได้กว่า 1 ไร่ และมีการปลูกบ้านหลายหลังในพื้นที่ มีหญิงสูงวัยรายหนึ่ง เป็นผู้ดูแล จึงมีความกังวลว่าจะเป็นการใช้แรงงานเด็ก หรือมีผลกระทบต่อสวัสดิภาพเด็กหรือไม่ แม้ที่ผ่านมา พม.จังหวัด จะเข้ามาตรวจสอบแล้ว แต่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้
จากความสงสาร สู่อาชีพพาเด็กเร่ขายของตามงานวัด
ข้อสงสัย กรณีที่เด็ก 9 เดือนหาย นำสู่การนำเด็กไปส่งที่บ้านและพบว่า มีการพาเด็กไปเร่ขายของตามงานวัดและงานประจำปี ทีมข่าวสอบถามไปยัง พลตำรวจตรีโชติวัฒน์ เหลืองวิลัย ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.พระนครศรีอยุธยา ให้ข้อมูลว่า จากการลงเข้าไปตรวจสอบพบว่า มีการอยู่รวมกันในพื้นที่เดียวประมาณ 30 กว่าชีวิต โดยปลูกบ้านที่อยู่อาศัยขนาดเล็กแบบง่ายๆ แต่น่าสนใจว่าเครือญาติที่อยู่ในที่เดียวกัน มีทั้งแม่สามี ลูกเขย ภรรยา ลูกหลาน และพอฝ่ายชายมีภรรยาใหม่ก็เอามาอยู่ด้วยกัน
กลุ่มคนเหล่านี้ประกอบอาชีพขายของตามงานวัด และงานเทศกาลต่างๆ ในพื้นที่อยุธยาและใกล้เคียง ซึ่งในกลุ่มมีคนที่คอยสานประตะเพียน ทำข้าวเกรียบว่าว ปลาหมึกย่าง และทำลูกโป่ง เพื่อให้เด็กและผู้ใหญ่ในกลุ่มนำไปขายตามงานต่างๆ
“การเข้าไปตรวจสอบ สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ สวัสดิภาพ การใช้ชีวิตของเด็ก เนื่องจากในกลุ่มนี้มีทั้งเด็กเล็กและเด็กโต แม้เด็กบางคนได้เรียนหนังสือ แต่การต้องไปเร่ขายของตอนกลางคืน ก็อาจส่งผลกระทบในเรื่องการใช้แรงงานเด็ก ซึ่งจากการสอบถาม ที่ดินที่อยู่อาศัย เดิมยายที่ดูแลเช่าไว้ ก่อนที่จะมีเงินจนมาซื้อที่ดินนี้ได้ 1 ไร่ และก็ให้ลูกหลานแต่ละครอบครัวอยู่ แต่ไม่เก็บค่าเช่า เก็บเพียงค่าน้ำค่าไฟ”
ที่ผ่านมาหน่วยงานดูแลเด็กของจังหวัดได้เข้าไปช่วยเหลือแล้ว แต่ไม่สามารถให้เขาเลิกอาชีพนี้ได้ เพราะส่วนหนึ่งมาจากการมีรายได้ที่ดี ประกอบกับอุปนิสัยคนไทย เวลาเห็นเด็กมาขายสินค้าตามงานวัด ก็อยากจะซื้อ บางรายก็ให้เงินเด็กมากกว่าราคาสินค้า
กรณีที่มีคนตั้งข้อสังเกตว่า กลุ่มคนเหล่านี้มีการผลิตลูกหลาน เพื่อให้นำสินค้าไปเร่ขายหรือไม่ “พลตำรวจตรีโชติวัฒน์” ให้ข้อมูลว่า กรณีนี้ต้องมีการเข้าไปดูเรื่องสวัสดิภาพของเด็กมากขึ้น เพราะแม่บางรายอายุแค่ 21 แต่มีลูกมา 4 คนแล้ว นั่นแสดงว่าน่าจะมีลูกตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งมีเด็กสาวอีกหลายคนที่เป็นลักษณะนี้อยู่ในกลุ่มดังกล่าว เสี่ยงที่จะเกิดปัญหาสังคมตามมา หากไม่มีการเข้ามาให้ความช่วยเหลือ
...
“ในพื้นที่อยุธยา มีลักษณะนี้อยู่ที่นี่แห่งเดียว กรณีที่เกิดขึ้นทำให้สังคมเป็นห่วงเรื่องเด็กที่ขายของตามงานต่างๆ จึงอยากฝากประชาชนว่า หากเห็นเด็กที่เร่ขายของตามงานวัด ไม่ควรให้เงินจำนวนมาก เพราะทำให้กลุ่มคนเหล่านี้หาผลประโยชน์จากความรู้สึกสงสารของคนอื่น ดังนั้น การให้อะไรกับเด็กที่เร่ขายสินค้า ควรพิจารณาให้ดีก่อน เพราะอย่างกรณีที่เกิดขึ้นเขาก็ไม่ได้ลำบาก แต่อาศัยหากินกับความรู้สึกสงสารของคนอื่น”.