“แพทองธาร” ฝ่ากับดัก “นิติสงคราม” ยังไม่ทันได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา “นักร้องเรียน” ก็เดินหน้ายื่นหนังสือตรวจสอบนายกฯ แล้ว “นักวิชาการมอง” ระวังกับดัก คนใกล้ตัวอาจร้ายกว่าลุง แนะตั้งองครักษ์พิทักษ์นายก
แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 หลังมีพระบรมราชโองการ ประกาศแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยบางตอนระหว่างแถลงข่าว มีการชี้แจงประเด็นที่มีการร้องเรียนนายกฯ ซึ่งอาจนำสู่การหลุดจากตำแหน่ง เหมือนอดีตนายก “เศรษฐา ทวีสิน” ประเด็นนี้ คุณแพทองธาร ชี้แจงว่า ไม่ได้อยากมีคดี แต่พยายามตั้งรับให้ดีที่สุด
และแทบทันที วันนี้ (8 ก.ย.67) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยถึงการยื่นหนังสือร้องเรียน ส่งทางไปรษณีย์ให้กับประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กรณีนายกฯ แต่งตั้ง นายภูมิธรรม เวชยชัย เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าข่ายมีความไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์หรือไม่ และการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรม ข้อ 8 หรือไม่
...
ศึกนิติสงคราม ที่ต่อจากนี้จะถาโถมเข้ามาหา นายกฯ แพทองธาร สำหรับ รศ.ดร.ธนภัทร ปัจฉิมม์ คณบดีโรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต มองแนวโน้มรัฐบาลการนำของ “แพทองธาร” ไม่แน่ว่าอนาคตจะเป็น “แพแตก” โดยเฉพาะความไม่มีเอกภาพในพรรคร่วมรัฐบาล และคดีความที่บรรดานักร้องเรียน ยื่นเรื่องให้มีการตรวจสอบ
“คุณแพทองธาร ต้องมีความระมัดระวังศึกภายใน เกี่ยวกับการถูกวางยาเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน ส่วนศึกภายนอก เกี่ยวกับคนที่ร้องเรียนเรื่องคุณทักษิณ ชินวัตร ฐานะเป็นผู้ครอบครอง ไม่ใช่ผู้ครอบงำ ซึ่งการใช้กฎหมายเพื่อไปทำลายรัฐบาลคงหนีไม่พ้น ยิ่งสถานการณ์การพิจารณาตัดสินไปอยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ โดยหลักเกณฑ์การพิจารณาเป็นในแนวทางที่ประชาชนเห็นมาก่อนหน้านี้ แต่การตัดสินมีผลทางกฎหมายไปแล้ว แม้ไม่ชอบธรรมต่อคนหลายคน ดังนั้นการตรวจสอบคำวินิจฉัยควรมีองค์กรที่ชัดเจนมาคอยตรวจสอบ”
ประเด็นการร้องเรียนนายกฯ ที่สุ่มเสี่ยงคือ การครอบงำ ในการบริหารกระทรวงและราชการแผ่นดิน ถ้ามีหลักฐานยืนยันว่า เป็นการครอบงำ โดยคุณทักษิณ เช่น คุณทักษิณ ไปให้สัมภาษณ์ ในเรื่องต่างๆ แล้วรัฐบาลไปดำเนินการตามนั้น ถือเป็นเรื่องอันตรายที่คุณทักษิณ ออกไปให้ข้อมูลแบบนั้น
ส่วนประเด็นที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งหลังจากนี้ คือ การแบ่งสรรผลประโยชน์ไม่ลงตัวของพรรคร่วมรัฐบาล ก่อให้เกิดปัญหาในการวางยากัน เพื่อแย่งชิงอำนาจทางการเมือง จนส่งผลต่อการทำงานของนายกฯ ขณะเดียวกัน ต้องจับตาเสถียรภาพของสมาชิกในพรรคเพื่อไทย ที่มีหลายกลุ่ม มีแนวโน้มจะเกิดความไม่ลงรอยกันได้ในอนาคต ส่งผลมาถึงการทำงานของรัฐบาล ตอนนี้ก็เห็นสัญญาณบางอย่าง ที่สมาชิกบางกลุ่มพลาดในการนั่งเก้าอี้รัฐมนตรี
“นิติสงคราม ที่นายกฯ ต้องเผชิญย่อมส่งผลต่อการบริหารงานให้กับประชาชน ที่ตอนนี้มีความคาดหวังสูง เมื่อนโยบายที่ออกมา ไม่สามารถทำได้เห็นผล เนื่องจากกลัวในข้อกฎหมายที่เป็นช่องทางในการร้องเรียน จะทำให้โครงการเหล่านั้นไม่เกิดผลสำเร็จกับประชาชน ส่งผลย้อนกลับมาถึงความเชื่อมั่นต่อพรรคเพื่อไทย ในการเป็นแกนนำรัฐบาล”
“บิ๊กป้อม” อำนาจเสื่อมถอย ควบคุมองค์กรอิสระ
ที่ผ่านมามีการตั้งข้อสังเกต ถึงสายสัมพันธ์ขององค์กรอิสระกับ “บิ๊กป้อม” แต่ “รศ.ดร.ธนภัทร” วิเคราะห์ว่า ตอนนี้ตัวแทนในองค์กรอิสระต่างๆ ที่มีสายสัมพันธ์กับ “บิ๊กป้อม” ก็เริ่มลดลง เพราะเกษียณอายุราชการ หรือครบวาระ ดังนั้น องค์กรอิสระเริ่มปรับแนวทางการทำงานให้สมดุลมากขึ้น
...
ในแง่องค์กรอิสระ ถ้าพรรคเพื่อไทย ที่มองว่าตอนนี้เป็นต่อทางการเมือง หากวิเคราะห์ให้ดี พบว่า ความได้เปรียบ ไม่ได้อยู่กับพรรคเพื่อไทย แต่เป็นของสายสีน้ำเงิน ของพรรคภูมิใจไทย ที่ค่อยๆ แทรกซึม สุดท้ายแล้วถ้าองค์กรอิสระไม่เป็นกลางจริง ประชาชนก็จะได้รับผลกระทบ
“ตอนนี้การเมืองกลายเป็นเรื่องของนักการเมือง ประชาชนกลายเป็นแพะที่ต้องมารับบาปจากการแก่งแย่งอำนาจของนักการเมือง ดังนั้น ถ้าองค์กรอิสระไม่ทำหน้าที่ตรงไปตรงมา จะก่อให้เกิดวิกฤติทางการเมืองขึ้นอีก”
รัฐบาลต้องแก้เกม ดันองครักษ์พิทักษ์นายกฯ
วิบากกรรมศึกนิติสงคราม ของรัฐบาลแพทองธาร “รศ.ดร.ธนภัทร” มองถึงการแก้เกมว่า สิ่งนี้จะทำให้นายกฯ บริหารงานโดยใช้ความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ และทำให้ไม่มีผลงานที่โดดเด่นในการเป็นผู้นำรัฐบาล เนื่องจากไม่เคยมีประสบการณ์ในการบริหารราชการแผ่นดิน เพราะต้องยอมรับว่า บรรดาคนที่แวดล้อมต่างเป็นเสือสิงห์กระทิงแรด ดังนั้น สิ่งที่ต้องทำ คือ องครักษ์พิทักษ์นายกฯ ไม่อย่างนั้นอาจมีอุบัติเหตุทางการเมืองได้
...
โดยองครักษ์พิทักษ์นายกฯ ต้องมีความเชี่ยวชาญเป็นรายกระทรวง เพราะต้องยอมรับว่า คุณแพทองธาร ไม่มีประสบการณ์บริหารราชการแผ่นดิน ดังนั้น ถ้ามีคนที่ไว้ใจได้ เชี่ยวชาญเฉพาะ จะทำให้การบริหารมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น และไม่ทำให้ติดกับดักนิติสงคราม ที่สำคัญประชาชนก็จะได้รับประโยชน์จากการบริหารราชการแผ่นดินที่เห็นผลเป็นรูปธรรม.