อีกไม่กี่ชั่วโมง ศาลรัฐธรรมนูญจะอ่านคำตัดสินชี้ชะตา “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี กรณีถูก 40 สว. ยื่นถอดถอนออกจากตำแหน่ง นักวิเคราะห์การเมืองชี้ 5 สัญญาณบวก แต่ยังมีโอกาสสั่นคลอนเก้าอี้

“เศรษฐา ทวีสิน” ถูก 40 สว. ยื่นถอดถอนออกจากตำแหน่งนายกฯ ปมแต่งตั้ง “พิชิต ชื่นบาน” เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เหตุมีคุณสมบัติต้องห้ามและไม่มีความซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์ ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำพิพากษาชี้ชะตาตำแหน่งนายกฯ วันที่ 14 ส.ค. เวลาประมาณ 15.00 น.

รศ.ยุทธพร อิสรชัย นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช วิเคราะห์ถึงสัญญาณการเมืองก่อนศาลรัฐธรรมนูญตัดสินนายกฯ ว่า แนวโน้มคำตัดสินนายกฯ มีโอกาสที่จะได้ไปต่อสูงด้วยเหตุดังนี้

1.ถ้ามองประเด็นข้อกฎหมาย ถึงการแต่งตั้งบุคคลจะมีการตรวจสอบไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนแล้ว ซึ่งก่อนที่นายกฯ จะแต่งตั้ง มีการเสนอข้อมูลเพื่อให้ตรวจสอบผ่านกฤษฎีกา และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติบุคคลก่อนที่จะแต่งตั้งแล้ว ซึ่งที่ผ่านมามีหลายท่านที่ถูกยื่นชื่อตรวจสอบแล้วไม่ผ่านก็มี

...

2.ข้อกังขาเกี่ยวกับการยื่นเรื่องตรวจสอบของ 40 สว. มีคำถามว่าสามารถยื่นเรื่องได้หรือไม่ เพราะในมาตรา 82 ในรัฐธรรมนูญได้เขียนเอาไว้ว่าเป็นสิทธิของ สส. และ สว. แต่ในตอนที่ยื่น 40 สว. ได้พ้นวาระไปแล้ว ซึ่งตอนนั้นที่อยู่ก็เป็นไปตามรัฐธรรมนูญบัญญัติให้ทำหน้าที่ต่อ แต่การปฏิบัติหน้าที่ไม่ใช่การรับรอง ในเรื่องสิทธิตามรัฐธรรมนูญต่างๆ จึงเป็นประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญต้องหันมาตีความว่า 40 สว.มีอำนาจในการยื่นตรวจสอบหรือไม่

3.ในมุมทางการเมือง มีการตีความถึงท่าทีของคุณทักษิณ ชินวัตร ที่มีท่าทีชื่นมื่นเมื่อพบกับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งอาจเป็นสัญญาณบวกต่อคุณเศรษฐา

4.อีกมุมนึงหากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้นายกฯ ผิด มีผลทำให้คณะรัฐมนตรีชุดนี้พ้นไปพร้อมกับตำแหน่งนายกฯ และทำให้ต้องมีคณะรัฐมนตรีรักษาการ แต่คุณเศรษฐาไม่สามารถมานั่งในตำแหน่งรักษาการนายกฯ ได้ ดังนั้นคณะรัฐมนตรีรักษาการจะต้องทำการคัดเลือกนายกฯ ที่มารับตำแหน่งแทน ตามแคนดิเดตที่มีอยู่ หรือคณะรัฐมนตรีสามารถทำการยุบสภาเลือกตั้งใหม่

5.ไม่ว่าคุณเศรษฐาจะรอด หรือไม่รอด แต่สิ่งที่รัฐบาลและพรรคร่วมควรเร่งทำคือ การกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ตอนนี้ประชาชนทั่วไปประสบปัญหาด้านปากท้อง ซึ่งมีผลต่อสเถียรภาพรัฐบาล ส่วนการปรับคณะรัฐมนตรีคาดว่าต้องมีการปรับตำแหน่งในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า โดยผลคำตัดสินของศาลในวันที่ 14 ส.ค.นี้ มีผลอย่างมากต่อการเดินหน้าต่อของรัฐบาล และอนาคตของการเมืองไทย.