ในที่สุด พรรคก้าวไกล ก็ไม่รอด หลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ยุบพรรคก้าวไกล จากการกระทำตามคำร้องของ กกต. มีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเข้าลักษณะกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อันเป็นเหตุแห่งการยุบพรรค ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 92 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรค ซึ่งดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค. 2564 - 31 ม.ค. 2567 พร้อมสั่งห้ามจดทะเบียนตั้งพรรคการเมืองใหม่ หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมือง มีส่วนร่วมในการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่ ภายในกำหนด 10 ปี

จุดเปลี่ยนการเมือง หลังยุบก้าวไกล รอดูคดีคุณสมบัตินายกฯ

จุดเปลี่ยนการเมืองไทยหลังจากนี้จะเป็นเช่นไร? “รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย” อาจารย์สาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มองว่า ต้องรอดูสถานการณ์ในสัปดาห์หน้า หลังศาลรัฐธรรมนูญตัดสินคดีคุณสมบัตินายกรัฐมนตรีของ เศรษฐา ทวีสิน กรณีแต่งตั้ง พิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะส่งผลให้สมการการเมืองเปลี่ยน ทั้งการเมืองนอกสภาและในสภา เพราะการยุบพรรคในการเมืองไทย เป็นภาวะนิว นอร์มอล (New Normal) ยุบแล้วก็ตั้งใหม่ สส.ก็ย้ายพรรคใหม่ ส่วนการเคลื่อนไหวการเมืองนอกสภาจะยังไม่ขยายตัวในเวลาอันใกล้นี้

...

“พอมาดูในส่วนอนาคตของก้าวไกล อนาคตของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็จะมีจำนวนลดลงจากเดิม ในส่วน สส.บัญชีรายชื่อ ไม่มีการเลื่อนบัญชีขึ้นมา กลายเป็นว่างไปเลย เพราะถูกยุบพรรค และแบบแบ่งเขตเลือกตั้งเขตพิษณุโลก หลังหมออ๋อง ปดิพัทธ์ สันติภาดา ย้ายพรรค แต่เคยเป็นอดีตกรรมการบริหารพรรค ก็ถูกตัดสิทธิทางการเมืองไปด้วย ก็ต้องจัดเลือกตั้งซ่อม และการที่ สส.จะย้ายไปพรรคใหม่ ต้องกำหนดทิศทางพรรคใหม่ และดูว่าใครจะเป็นผู้นำพรรค”

ทิศทางการเมืองไทยหลังการยุบพรรคก้าวไกลต้องรอดู หากนายกรัฐมนตรีได้ไปต่อ ก็ไม่ส่งผลเท่าไร แต่หากไม่ได้ไปต่อ จะทำให้สมการการเมืองเปลี่ยนแน่นอน อาจเกิดงูเห่า และผึ้งแตกรัง อีกทั้งคดียุบพรรคก้าวไกลยังจะเป็นมาตรฐานในการพิจารณากรณี 44 สส.ของพรรคก้าวไกล ร่วมเข้าชื่อแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งมีกรรมการบริหารพรรคก้าวไกลบางส่วนมีชื่อซ้ำซ้อนอยู่ด้วย ขณะนี้ระหว่างการตรวจสอบของ ป.ป.ช. อาจโดนหนักถูกตัดสิทธิทางการเมืองไปตลอดชีวิต เหมือนกับช่อ-พรรณิการ์ วานิช

คำวินิจฉัยของศาล บรรทัดฐานใหม่ อาจทำคนเปลี่ยนอุดมการณ์

ขณะที่ “ผศ.ว่าที่ ร.ต.จตุพล ดวงจิตร” อาจารย์วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ระบุว่า ด้วยสถานการณ์การเมือง และคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในการยุบพรรคก้าวไกล จะเป็นบรรทัดฐาน เป็นจารีตใหม่อีกบทที่ทุกฝ่ายต้องมอง ทั้งประชาชน พรรคการเมือง จะต้องตระหนักมากขึ้น และในแง่ของสมาชิกพรรคคงต้องไหลเลื่อนตามเหตุปัจจัยที่มีพลังดึงดูด ซึ่งอุดมการณ์ทางการเมืองบางครั้งสามารถเปลี่ยนไปได้จากนโยบายของพรรค และต้องดูการวางเกมของกลุ่ม สส.จะจัดการอย่างไร ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาในการเจรจาย้ายสังกัดพรรค

“ความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้น คงต้องหยุดคิดกันสักระยะในการวิเคราะห์ของทุกภาคส่วน เนื่องจากคำวินิจฉัยของศาลในคดียุบพรรคจะเป็นบรรทัดฐานอย่างหนึ่งให้เกิดการรับรอง สร้างความชอบธรรมบางอย่างเอาไว้ ทำให้เร็วๆ นี้ยังไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่ก็ยอมรับว่าคงมีการดีลกันบ้างแล้วในการย้ายไปสังกัดพรรคใหม่ของ สส.ก้าวไกล ต้องดูว่าใครไปจำนวนเท่าไร ขึ้นอยู่กับท่าทีและพฤติกรรมของแต่ละคนจะเปลี่ยนไปอย่างไร และวันนี้อย่างที่บอก ไม่สามารถรวมกลุ่มในทิศทางเดียวกันได้ อยู่ที่ความพอใจของแต่ละคน ลึกๆ แล้วอยู่ที่การต่อรองและผลประโยชน์ จะต้องจับตามอง”

...

ยุบก้าวไกล ผึ้งค่อยๆ แตกฮือ เพิ่มพลังอำนาจให้รัฐบาล

แต่หลังการยุบพรรคก้าวไกล ซึ่งแน่นอนฝั่งตรงข้ามจะมีพลังอำนาจในการตัดสินใจมากขึ้น และก็จะง่ายขึ้น เนื่องจากระบบการคานอำนาจจะอ่อนลง มีการเทมาไปยังฝั่งรัฐบาลมากขึ้น จนพลังคานอำนาจจะน้อยลง ก็ต้องฝากประชาชนให้ตั้งหลัก หลังกลุ่มตัวแทนของประชาชนในการคานอำนาจหายไป และวันนี้ประชาชนต้องลงมาตรวจสอบ จะนิ่งเฉยไม่ได้ แต่ไม่ต้องห่วงว่าประชาชนจะลุกออกมาในทันที จะต้องพัฒนาเรื่องการตรวจสอบรัฐบาลให้มากขึ้น

อย่างไรแล้วก็ยังเชื่อว่าพลังประชาชนจะลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลง ด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญและสิทธิหน้าที่พลเมือง สามารถทำได้ให้มากกว่านี้ ส่วนสถาบันการศึกษาต้องสอนให้เด็กรุ่นใหม่ทำหน้าที่ที่ดี รู้จักใช้โซเชียลอย่างเหมาะสม และคาดหวัง สว.ทำหน้าที่ตรวจสอบแทนประชาชนไปอีกทาง น่าจะทำให้การเมืองเปลี่ยนไปได้

นอกจากนี้ การยุบพรรคก้าวไกล คาดว่ารัฐบาลน่าจะอยู่ยาว จากตัวนโยบายและรัฐธรรมนูญ จะทำให้การเมืองกำชับมากขึ้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่ต้องระยะหนึ่งจะเกิดการย้ายพรรค เกิดปรากฏการณ์ผึ้งแตกรังอย่างชัดเจนในลักษณะไม่หวือหวา แต่จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะเป็นกลุ่มใหญ่ คงต้องเดินเกมค่อนข้างระมัดระวัง ต้องเกรงใจประชาชนที่เลือกเข้ามาอยู่บ้างในการเปลี่ยนแปลงไปอยู่อีกฝั่ง จะไม่เหมือนผึ้งแตกฮือ ไม่ให้กระทบต่อการเลือกตั้งครั้งหน้า.