เจาะปัญหาการประกัน ในวงการรถยนต์ EV หลังหลายคนเจอค่าซ่อมมหาโหด ความลงตัวของเบี้ยประกัน ที่ส่อเพิ่ม หรือ ลด ในอนาคต... 

จากกรณี บริษัทประกันแห่งหนึ่ง ออกมาร่อนหนังสือแถลง คล้ายกับจะยกเลิก ทำประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ทุกแบรนด์ ทั้งงานเก่า และการโอนย้าย 

แต่...ต่อมา บริษัทเดิมได้ชี้แจงผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย ระบุว่ามีการสื่อสารที่ “คลาดเคลื่อน” โดยบริษัท ยังคงรับทำประกันรถยนต์ไฟฟ้าต่อไป แต่...มีการเปลี่ยนแปลงแนวทางการเสนอเบี้ยประกันภัยรถยนต์ ด้วยสาเหตุจากความผันผวนของราคารถยนต์ไฟฟ้าป้ายแดง และรถยนต์มือสองที่ส่งผลกระทบต่อทุนประกันภัย 

จากประเด็นดังกล่าว “เรา” ได้พูดคุยกับ ดร.ยศพงษ์ ลออนวล นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าแห่งประเทศไทย ให้ความเห็นว่า “นโยบาย” ของแต่ละบริษัทประกัน จะมีการรับความเสี่ยงที่แตกต่างกัน ขึ้นชื่อว่า “ประกัน” ก็คือ ก็มีหน้าที่ “บริหารจัดการความเสี่ยง” 

สิ่งที่เขาระบุไว้ ก็ค่อนข้างชัดเจนระดับหนึ่ง โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง “ราคา” ของรถยนต์ มือ 1 และมือ 2 อยู่ ซึ่งการใช้รถยนต์ไฟฟ้า หากเราซื้อมือหนึ่งมา ก็ราคาหนึ่ง ใช้ไปสักพัก ราคาก็ตกลง แต่กลายเป็นว่า “ราคา” มูลค่ารถมือสองกลับแพงกว่ามือหนึ่ง 

...

นี่เองเป็นส่วนหนึ่งที่เป็น “ข้อกังวล” ที่เกิดขึ้นในตลาดเวลานี้... โดยเฉพาะในประเด็นราคาที่ผันผวน บริษัทประกัน ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน เป็นที่มาความไม่อยากที่จะรับความเสี่ยง...

เมื่อถามว่า พอทราบราคาเรตประกันภัย ยานยนต์ไฟฟ้าบ้างหรือไม่ ดร.ยศพงษ์ บอกว่า เรื่องนี้คงต้องเช็กกับบริษัทประกันภัย....

อย่างไรก็ดี “เรา” ได้ตรวจสอบข้อมูลไปยังเว็บไซต์ที่ให้คำปรึกษาด้านประกันภัย ซึ่งเราตรวจสอบเรตราคา “เบื้องต้น” กับรถยนต์ไฟฟ้า หลายๆ ยี่ห้อ กับรถยนต์ EV ปี 2023 พบว่า...

BYD : ประกันชั้น 1 เบี้ยประกัน 24,000-32,000 บาท 

MG :  ประกันชั้น 1 เบี้ยประกัน 24,000-27,000 บาท

ORA :  ประกันชั้น 1 เบี้ยประกัน 24,000-31000 บาท

NETA V :  ประกันชั้น 1 เบี้ยประกัน 18,900-27,000 บาท 

Tesla : ประกันชั้น 1 เบี้ยประกัน 50,000-65,000 บาท 

**เป็นเพียงราคาคร่าวๆ ราคาขึ้นอยู่กับมูลค่าของรถยนต์ไฟฟ้า ความคุ้มครอง แต่ละชนิดรถและรุ่น** 

ดร.ยศพงษ์ กล่าวต่อว่า เท่าที่สังเกต เรายังพบเพียงบริษัทเดียวที่รู้สึกกังวลในเรื่องนี้ ขณะที่บริษัทอื่นๆ ก็ยังคงนิ่งอยู่ อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวเชื่อว่า ทุกอย่างมันมีเหตุและผล Demand และ Supply 

ประกันรถยนต์ เป้าในการทำ คือ การคุ้มครองเรื่องอุบัติเหตุ คนละเรื่องกับการใช้งาน “อายุการใช้งาน” ฉะนั้น ในแต่ละทุกบริษัท ก็ต้องประกาศ “ราคามาตรฐาน” ของแต่ละชิ้นส่วนอยู่แล้ว 

แนวโน้ม...ราคาประกันยานยนต์ไฟฟ้าจะเป็นอย่างไร ดร.ยศพงษ์ คาดการณ์ว่า จะลดลง จากปัจจัยด้าน “ราคารถ” ที่ถูกลง เพราะสิ่งที่ประกัน คือของ “ที่มีมูลค่าถูกลง” จำนวนรถยนต์ไฟฟ้าที่ออกมามากขึ้น

เพียงแต่เวลานี้ อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ในขณะนี้อยู่ในช่วง “ชะงักตัว” โดยมีสาเหตุมาจากปัญหาเศรษฐกิจในเชิงภาพรวม และตลาดรถยนต์ ซึ่งหากดูตัวเลขเทียบกับปีที่แล้ว พบว่า การขายรถยนต์ไฟฟ้าได้ลดลง และมีโอกาสที่หดตัว เชื่อว่าจะเป็นแบบนี้ช่วงสั้นๆ หากอนาคตอุตสาหกรรมมันเริ่มเคลียร์ประเด็นราคา ที่นิ่งกว่านี้ สร้างความมั่นใจให้กับประชาชนได้มากขึ้น คนก็จะกลับมาซื้อเอง...

“ปีที่แล้ว คนให้ความสนใจเยอะ และก็พบว่า สิ่งที่บริษัทรถยนต์ต้องกลับไปแก้ไขหลายประเด็น ต้องมาตอบกับสังคม หรือแม้แต่ราคาที่ถูกลง ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องปกติ ที่ของที่เป็นเทคโนโลยี ถึงแม้ว่า “ผู้บริโภค” ปัจจุบันจะเลือก “รับความเสี่ยง” ไปก่อน แล้วก็ต้องทำความเข้าใจกับเรื่องนี้”

“ผู้บริโภค” มีความมั่นใจกับ “รถยนต์ไฟฟ้า” มากขึ้นหรือไม่ ดร.ยศพงษ์ ตอบว่า มันมีเรื่องที่ต้องแก้ไข ปรับปรุง ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ...

...

ข้อกังวลกับการ “ซ่อม” รถยนต์ไฟฟ้า ที่มักเจอว่า มีราคาแพงมาก...  นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สิ่งที่เราเห็นในข่าว มักจะเป็นอุบัติเหตุที่ร้ายแรง หรือสิ่งที่เจอ คือ ค่าซ่อมแพงมาก 

แต่หากเราเอาข้อมูลอุบัติเหตุจริงๆ สัก 100 เคส ค่าซ่อมแพงอาจจะมีไม่กี่เคส แต่หากเป็นอุบัติเหตุเล็กน้อย ก็ไม่เป็นข่าว ฉะนั้น ส่วนตัวมองประเด็นนี้ เพราะมีการนำเสนอของสื่อ  

“การซ่อมแพง หรือไม่แพง มันก็ขึ้นอยู่กับอุบัติเหตุด้วย ถามว่า โอกาสเกิดอุบัติเหตุ ระหว่างรถยนต์น้ำมัน กับ ไฟฟ้า เท่ากันหรือไม่ คำตอบคือไม่ต่างกัน ฉะนั้น หากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ไม่กระทบกับ “แบตเตอรี่” ค่าซ่อมก็จะไม่ต่างกัน แต่หากมองเรื่อง “ชิ้นส่วน” ในรถ ก็มี 2 อย่างที่มีราคาแพง คือ แบตเตอรี่กับอะไหล่ที่เกี่ยวกับระบบไฟฟ้า ซึ่งหากจะซ่อมแก้ปัญหาทั้งโครงสร้าง ราคาย่อมไม่ถูก” 

เมื่อถามว่า จากข่าวที่ออกมา โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง “ค่าซ่อม” และ “ประกัน” ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าของผู้บริโภคแค่ไหน ดร.ยศพงษ์ ตอบตรงประเด็นว่า หากต้องเสียเงินเยอะ ก็คงไม่มีใครซื้อ หากแต่รถยนต์ไฟฟ้าถูกลง ประกันย่อมถูกลง 

...

“การซื้อประกัน มันคือ การซื้อความเสี่ยงเรื่องอุบัติเหตุ ที่สำคัญ บริษัท ประกันก็มีหลากหลาย และเวลานี้ก็มีหลายบริษัท ก็ยินดีรับความเสี่ยงกับยานยนต์ไฟฟ้า และการแข่งขัน จะทำให้ “ราคา” เปลี่ยนไปเอง ซึ่งเรื่องนี้ยังถือเป็นเรื่องใหม่”

คนที่จะขายรถ ก็ต้องพัฒนาเรื่องการซ่อมที่เป็นการลดต้นทุน เราอย่าลืมว่า หลายบริษัทเพิ่งจะนำรถเข้ามาขายไม่ถึงปี แล้วเขาอาจจะยังทำงานไม่ทัน หรือไม่ได้สต๊อกของ ซึ่งตอนนี้เขาก็ปรับตัว และบางบริษัทก็มีอะไหล่พร้อม ขณะเดียวกัน บริษัทประกันเขาก็รู้อยู่แล้วว่าสัดส่วนรถ ต่อ 100 คัน มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุเท่าไร เพียงแต่หากโอกาสเกิดอุบัติเหตุรถน้ำมัน กับรถยนต์ไฟฟ้าเท่ากัน แต่ต้องจ่ายค่าซ่อมรถยนต์ไฟฟ้าแพงกว่า บริษัทประกันก็ต้องไปคำนวณเรื่อง “เบี้ยประกัน” ที่สูงกว่า ในมูลค่ารถที่เท่ากัน นี่คือ การเทียบแบบตรงไปตรงมา...

ความเสี่ยงทุกอย่างที่เกิดขึ้น ถูกคำนวณเป็นหลัก “คณิตศาสตร์” ทั้งหมด! 

หากแต่ในอนาคตสามารถ “ซ่อมรถยนต์ไฟฟ้า” ในราคาที่ถูกลงได้ “เบี้ยประกัน” ก็ย่อมลดตาม... 

...

สิ่งที่ต้องไม่ลืมคือ เราเพิ่งจะอยู่กับรถยนต์ไฟฟ้ามา 2-3 ปี แต่รถน้ำมัน เราอยู่มาเกินครึ่งศตวรรษแล้ว

อ่านบทความที่น่าสนใจ