ปรากฏการณ์ “ผู้วิเศษ” มีให้เห็นเพิ่มขึ้นไม่เว้นวัน มีทั้งแบบร่างทรง อ้างได้รับพลังวิเศษจากเบื้องบน ทำให้มีคนหลงเชื่อจำนวนมาก ส่วนนึงเกิดจากสภาพสังคมที่บีบคั้น การเชื่อโดยขาดเหตุผล ผู้เชี่ยวชาญ มองว่า มีขบวนการปั้นผู้วิเศษ สร้างรายได้ในคราบนักบุญ จนต่อยอดไปโกยเงินในจีน ตามความเชื่อสายมู

รับชมไฟล์สดที่

 

ปรากฏการณ์ผู้วิเศษที่เกิดขึ้นถี่ในสังคมไทย มีตั้งแต่การเชื่อมจิต ใช้คลื่นพลังบุญในการรักษาโรค จนเป็นที่ถกเถียงในวงกว้าง เนื่องจากมีคนที่เชื่อและศรัทธา เข้าไปพบบรรดาอาจารย์เหล่านั้นมากขึ้น หลายกรณีมีจุดที่คล้ายคลึงกันในการนำหลักศาสนา นำชื่อพระสาวก มาอ้างในการกลับมาเกิด และสามารถเชื่อมต่อทางจิตได้ โดยบุคคลนั้นจะถูกสถาปนาเป็น “อาจารย์” ผู้มีพลังวิเศษ ในการรักษาความป่วยไข้ทางจิตใจ ร่างกาย หลายกรณีกลายเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ของกลุ่มมิจฉาชีพในคราบนักบุญ

...

“อัมรินทร์ สุขสมัย” ผู้ศึกษาด้านโหราศาสตร์และไสยเวท ผู้ติดตามปรากฏการณ์ผู้วิเศษในสังคมไทย เล่าว่า ขณะนี้มีผู้แอบอ้างเป็นผู้วิเศษในสังคมไทยจำนวนมาก น่าตกใจคือ ผู้ที่อ้างตนมีอายุที่น้อยลงจากเดิม ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้แยกได้เป็น 2 กลุ่มดังนี้

1. อ้างเป็นร่างทรง เดิมเป็นศาสนาผี มีมากว่า 100 ปี โดยร่างทรงส่วนใหญ่เป็นผีท้องถิ่น เช่น เจ้าแม่ไทรทอง เจ้าพ่อไกรทอง แต่ช่วงหลังอวดอ้างเป็นร่างทรงทางศาสนาพราหมณ์มากขึ้น เช่น ร่างทรงพระศิวะ พระนารายณ์ พระพิฆเนศ ซึ่งในอินเดียทางตอนใต้ แม้มีการประทับทรง แต่เป็นผีท้องถิ่น

“ร่างทรงที่มีเกลื่อนตอนนี้ แทบหาสาระอะไรไม่ได้ เพราะความรู้ด้านประวัติศาสตร์เรื่องนี้มีการเผยแพร่อย่างแพร่หลาย แต่สำนักร่างทรง 100 สำนัก ก็ต่างอ้างความเชื่อมที่ต่างกัน ที่สำคัญภาษาที่ร่างทรงอ้างเป็นภาษาเทพ จะผิดเพี้ยนไปจากภาษาสันสกฤต ซึ่งถ้าอ้างว่าเป็นเทพจริง ต้องอ่านเขียนภาษาสันสกฤตและรู้ปกรณัม”

2. อ้างเป็นผู้วิเศษ มีจำนวนมากขึ้น ถือเป็นโลกอุปทาน ที่พยายามบอกว่าตนเองเป็นผู้หยั่งรู้ หรือรับรู้พลังงานพิเศษบางอย่าง กลุ่มนี้จะไม่บอกว่าเป็นการประทับทรงโดยตรง แต่อ้างว่าตนเองได้รับสิทธิพิเศษในการสื่อสารกับเทพและพระพุทธเจ้า เห็นได้จากกรณีล่าสุด ที่อ้างคลื่นพลังบุญ ระยะแรกบอกว่ามีพลังวิเศษ แต่ช่วงหลังเริ่มมีการประทับทรงร่วม สิ่งนี้ขัดแย้งกับพระไตรปิฎก ที่บันทึกว่า เมื่อพระพุทธเจ้าดับขันธปรินิพพาน คือไม่มี ไม่สามารถติดต่อสื่อสารได้อีกต่อไป

ปรากฏการณ์ผู้วิเศษที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ปัญหาสำคัญคือ การที่มีคนหลงเชื่อจำนวนมาก ทำให้เห็นว่าสังคมไทยมีคนป่วยมากขึ้นในเรื่อง “โรคหลงผิด” โดยเหตุผลสำคัญมาจากการแข่งขันที่สูง ความเครียดที่สะสมอยู่ในคนทุกเจเนอเรชัน ทำให้ตอนนี้มีคนที่หลงผิดเป็นทั้งวัยรุ่นและผู้สูงอายุ เพิ่มขึ้น

น่าสนใจว่าคนที่อ้างว่าเป็นผู้วิเศษ ในอดีตถ้าเป็นแก๊งต้มตุ๋น ต้องทำเป็นขบวนการ มีการแบ่งงานกันทำชัดเจน และต้องมีหลักจิตวิทยาในการโน้มน้าวเหยื่อ แต่ปัจจุบันกลุ่มเหล่านี้ทำงานกันง่ายขึ้น เพราะบางคนเพียงอ้างว่าเป็นผู้วิเศษ ก็มีคนหลงเชื่อจำนวนมาก โดยไม่มีเหตุผลรองรับ แสดงว่าคนเริ่มขาดวิจารณญาณไตร่ตรอง แสดงถึงคนในสังคมมีภาวะป่วยทางจิตแบบไม่รู้ตัวเองมากขึ้น เนื่องจากสภาวะสังคมที่บีบทำให้หลายคนไม่มีทางออก

ผู้วิเศษ ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัย

ที่ผ่านมามีการตั้งข้อสังเกต กรณีของหญิงรายนึงที่อ้างว่ามีคลื่นพลังบุญในการรักษาโรค มีการขุดภาพในอดีต สมัยที่อ้างว่าเป็นร่างทรง 4G โดย “อัมรินทร์” มองว่า กลุ่มคนที่อวดอ้างว่ามีพลังวิเศษ บางคนก็เชื่อว่าตัวเองมีพลังวิเศษจริง เกิดจากอุปทานหลงผิดโดยสมบูรณ์ และเชื่อว่าตัวเองมีของดีจริง ต่างจากในรายที่เป็นมิจฉาชีพ ที่พอออกสื่อมากๆ จะมีการปรับรูปแบบการหลอก ในรายของคลื่นพลังบุญ เขาเชื่อว่าตัวเองมีพลังวิเศษจริงๆ เพราะรูปแบบการแสดงออกตั้งแต่อดีตมาถึงปัจจุบันไม่เปลี่ยนไปจากเดิม แต่คนกลับไปหลงเชื่อกันเอง

...

คนป่วยเหล่านี้ บางมุมก็พูดคุยกันรู้เรื่อง แต่ป่วยในกระบวนการความคิด ความเชื่อที่ไม่ได้ใช้เหตุผล และมารวมกลุ่มกันมากขึ้น ทำกิจกรรมบางอย่างที่คนทั่วไปอาจไม่คาดคิดได้

ปรากฏการณ์ผู้วิเศษในไทย ยังไม่พัฒนาเป็นกระบวนการได้อย่าง ลัทธิโอมชินริเกียว ที่เคยก่อเหตุรุนแรงในญี่ปุ่น ซึ่งมีการจัดรูปแบบเป็นขบวนการชัดเจน จนสามารถดึงกลุ่มปัญญาชน และผู้มีฐานะมาร่วมได้

“กลุ่มคนที่อ้างตัวเป็นผู้วิเศษที่เป็นฆราวาส ยังมีโอกาสที่คนทั่วไปโต้แย้ง แต่มีอีกกลุ่มที่เป็นนักบวช เชื่อว่าตัวเองเป็นผู้วิเศษ ที่มีลูกศิษย์จำนวนมาก และคนไทยมักเชื่อว่าถ้าพระสงฆ์รูปนั้นไม่ว่าจะพูดอะไรก็เชื่อ ซึ่งปัจจุบันมีพระที่อ้างตนเป็นผู้วิเศษอยู่จำนวนมาก รวมถึงมีขบวนการที่สร้างอภินิหาร เพื่อปั่นราคาเครื่องลางของขลังให้เป็นที่นิยม มีราคาสูงมากขึ้น”

กระบวนการปั้นผู้วิเศษ จากความเชื่อสู่ขายพิธีกรรม-เครื่องราง

“อัมรินทร์” วิเคราะห์ถึงเส้นทางการปั้นผู้วิเศษว่า ขณะนี้มีผู้ที่ตั้งตนเป็นผู้วิเศษ เริ่มจากการเป็นหมอดู เมื่อดูแม่นขึ้น มีลูกดวงจำนวนมาก ก็เริ่มจ้างทีมงานในการถ่ายคลิป และสร้างพิธีกรรม วัตถุมงคล เพื่อต่อยอดให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้น เพราะถ้าเป็นหมอดูธรรมดาจะได้แค่เงินในการดูดวง แต่ถ้าโปรโมตว่าเป็นผู้วิเศษ จะมีรายได้ในส่วนอื่นเพิ่มขึ้น ซึ่งต้องยิงแอดโฆษณาบนโลกออนไลน์ให้มากขึ้นด้วย
หลักสำคัญของกลุ่มคนเหล่านี้ จะมีการแบ่งงานเป็นทีม ในการพรีเซนต์ประสบการณ์เช่น นำเครื่องรางไปแล้วค้าขายดี ประสบอุบัติเหตุแล้วแคล้วคลาด

...

ประกอบกับตอนนี้มีคนจีนเข้ามาเที่ยวไทยมากขึ้น จะมีเอเจนซี่ที่พาบรรดาอาจารย์เหล่านี้ ไปทำพิธีในจีน เช่น สักยันต์ ทำพิธีทางไสยศาสตร์ แต่ต้องมีกระบวนการปั้นให้เป็นผู้วิเศษผ่านโลกออนไลน์ก่อน ในการลงรูปคนที่มาทำพิธีจำนวนมาก ยิงโฆษณาในออนไลน์ หลังจากนั้นจะเข้าไปติดตานายหน้าพาไปจีน ซึ่งการเดินทางไปทำพิธีที่จีน เฉลี่ย 10 วัน ได้ค่าตอบแทนหลายแสนบาทต่อครั้ง

หากหน่วยงานเกี่ยวข้อง ไม่ลงไปจัดการบรรดาผู้วิเศษอย่างจริงจัง อนาคตอาจก่อให้เกิดปัญหา เช่น ความรุนแรงอย่างบางลัทธิในต่างประเทศ และความเชื่อที่ผิดจะถูกแพร่กระจายไปมากขึ้น เนื่องจากตอนนี้มีโซเชียล บางคนก็ใช้การไลฟ์สดเป็นเครื่องมือ ทำให้คนในสังคมไทยป่วยมากขึ้น เพราะยุคนี้การปั้นผู้วิเศษให้โด่งดังผ่านโลกออนไลน์ เพียงข้ามคืนก็ทำได้

จิตวิทยา ปัญหาเรื้อรังความเชื่อผู้วิเศษ

ดร.นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ โฆษกกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า การตั้งตนเป็นผู้วิเศษ ประชาชนควรพิจารณาถึงความสมเหตุสมผลของผู้นำความเชื่อว่าเหมาะสมหรือไม่ ซึ่งไม่ว่าคนที่ทำให้เชื่อหรือผู้ที่เชื่อ ก็มีโอกาสที่จะมีปัญหาด้านสุขภาพจิตได้

...

แต่ในอีกมุมหนึ่ง การวิเคราะห์ด้านสุขภาพจิตต้องมีการพิจารณาเป็นรายบุคคล เพราะบางครั้งผู้นำความเชื่อ ก็ไม่ได้มีปัญหาทางจิต แต่มีเป้าหมายต่อทรัพย์สินของผู้ที่หลงเชื่อ

สิ่งสำคัญการที่เราจะตัดสินใจเชื่ออะไร จะต้องเป็นไปในแนวทางสุขภาวะที่ดี แต่ถ้าเชื่อแบบงมงาย เสียทรัพย์สิน หรือบางรายก็ถูกล่วงละเมิดทางเพศ และสูญเสียความสัมพันธ์ด้านการทำงานไป ความเชื่อเหล่านั้นจะเป็นอันตรายต่อตัวเองและคนรอบข้าง ดังนั้นความเชื่อต้องเป็นอะไรที่เป็นไปได้ในโลกของความจริง.