เปิดใจหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว กับปมจับกุมคณะสงฆ์เข้าป่า ร่วมคณะกับพรานป่าล่าสัตว์ เล่าเบื้องหลัง สุดท้ายขึ้นอยู่กับการกระทำ... 

ปาณาติปาตา เวรมณี (สิกฺขาปทํสมาทิยามิ) 

นี่คือข้อแรกในศีล 5 ที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามไว้ แน่นอนว่าข้อแรกย่อมเป็นข้อห้ามร้ายแรงที่สุด บาปหนักที่สุด ซึ่งเรื่องนี้ “พุทธศาสนิกชน” ที่นับถือศาสนาพุทธก็รู้ดี และเป็นไปได้ก็ควรงดเว้น เพราะ “ผลกรรม” จากการฆ่าสัตว์ เบียดเบียนทำร้ายสัตว์ หรือแม้แต่การ “กักขังทรมานสัตว์” นั้น อาจส่งผลถึงผู้กระทำ คือ อาจได้รับวิบากกรรมด้วยการเจ็บป่วยเรื้อรัง มีปัญหาสุขภาพ หรือเกิดอุบัติเหตุบ่อยๆ 

สิ่งที่ตกตะลึงก็คือ ได้เห็นข่าวการจับกุม “พระ” ร่วมคณะกับแก๊ง “พรานป่า” ล่าสัตว์ในป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว โดยเบื้องต้นได้มีการควบคุม พระไว้ 2 รูป และต่อมาได้มีพระชั้นผู้ใหญ่ ที่เป็นรองเจ้าคณะจังหวัดชัยภูมิ มารับทราบข้อหา เพราะมีหลักฐานถึงการร่วมทริปล่าสัตว์ 

...

นายวิชานนท์ แสนผาลา หน.เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว บอกกับผู้เขียนว่า การดำเนินคดีกับทั้ง 9 คนนั้น ก็เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย โดยพระ 2 รูปแล้ว ที่เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวไว้ในทีแรก ได้มีการตั้งข้อหาดำเนินคดี และได้มีการปล่อยตัวชั่วคราว ขณะที่บุคคลก็คือ พรานป่า และพระร่วมคณะ รวม 7 คนนั้น ได้มีการมอบตัวแล้ว และได้มีการปล่อยตัวชั่วคราวเช่นกัน...โดยมีการนัดแนะกับพนักงานสอบสวนจะมาให้ปากคำต่อไป 

3 ข้อหาหลัก คือ 

1. เข้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต

2. ร่วมกันล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า

3. ครอบครองซากสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาต (ดำเนินคดีเฉพาะพระอีก 1 รูป ในที่เกิดเหตุ) 

นายวิชานนท์ อธิบายว่า จุดที่เราไปเจอนั้น อยู่ในพื้นที่ค่อนข้างลึก สภาพภูมิประเทศนั้นเป็นภูเขา และเจ้าหน้าที่ของเราไปพบกลุ่มดังกล่าวอยู่บนหลังแป หากนึกภาพไม่ออก คือ ลักษณะคล้ายภูกระดึง ซึ่งเขากำลังปีนหน้าผาลงมา คาดว่าเราเจอตอนเขากำลังจะกลับ 

“เรื่องนี้เป็นเรื่องไม่ปกติอยู่แล้ว ที่เราไปเจอคณะพระอยู่ในกลุ่มพรานป่าล่าสัตว์ เพราะแค่การเข้าพื้นที่โดยไม่ได้รับอนุญาตก็ถือว่าเป็นความผิดอยู่แล้ว” 

หากแต่...คณะสงฆ์ต้องการเข้าพื้นที่เข้าไปศึกษาธรรมชาติ เราก็ยินดีที่จะจัดเจ้าหน้าที่พาเข้าไปอยู่แล้ว ซึ่งที่ผ่านมา ก็มีพระบางรูปขอเข้าพื้นที่ เราก็จัดพื้นที่เตรียมไว้ให้ ไม่ใช่ว่า “อยากไปไหนก็ไป” 

มีบ้างไหมที่จะขอเข้าไปธุดงค์ ปลีกวิเวกในป่า.. หน.เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว บอกว่า ไม่ได้มีถึงขั้นนั้น... มีบ้างที่พระลักลอบเข้าพื้นที่ แต่ส่วนมากจะมากับโยม และไม่ได้พกพาอาวุธเข้าไป อ้างว่า จะเข้ามานั่งจำศีล สุดท้ายเราก็ไม่อนุญาต และใช้วิธีการผลักดันออกจากพื้นที่แทน พร้อมกับให้ความรู้เรื่องการขออนุญาตเข้าพื้นที่ เพราะจะมีบทลงโทษทางกฎหมาย 

การดำเนินคดีกับกลุ่มพระเข้าพื้นที่ลักษณะนี้ เป็นครั้งแรกหรือไม่ เพราะมีลักษณะคล้ายเป็นการ “จัดทริป” เข้าไป นายวิชานนท์ บอกว่า ฆราวาสที่ร่วมคณะครั้งนี้ คือ กลุ่มชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในชายป่า บางคนเคยถูกดำเนินคดีการล่าสัตว์ติดตัวอยู่แล้ว และที่ผ่านมา เราก็มีการติดตามกลุ่มคนเหล่านี้อยู่ 

“ส่วนกรณีการพาพระเข้าร่วมคณะด้วยนั้น ถือว่าเป็นการจับกุมและเจอเป็นครั้งแรก เราเองต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ถึงแม้เขาเหล่านั้นจะเป็นผู้กระทำผิด แต่เราก็ดำเนินการตามหลักฐาน” 

มีพระรูปไหนสารภาพไหม ว่าเป็นคนลงมือเอง หน.เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว ตอบว่า ยังไม่มี...กลุ่มที่หลบหนี 7 คน ที่เดินมารับทราบข้อหานั้น เขายังไม่ให้การ ส่วนพระ 2 รูป ที่อยู่ในที่เกิดเหตุ ก็บอกว่าแค่เดินทางมาด้วยกัน ไม่ได้เข้าไปยิง และอ้างว่ามีเพียงนายพรานที่ยิง แต่...ในส่วนการดำเนินคดีนั้น เราต้องทำกับทุกคน โดยเป็นข้อหา “ร่วมกัน” ดังนั้น การแจ้งข้อหา ร่วมกันล่าสัตว์ 

...

ปกติแล้ว มีการจับกุมชาวบ้านที่ลักลอบเข้าพื้นที่ป่าล่าสัตว์บ่อยแค่ไหน นายวิชานนท์ ยอมรับว่า ไม่บ่อยนัก บางเดือนก็ไม่พบผู้กระทำผิด แต่บางทีก็พบบ่อยๆ กลุ่ม...เราเองมีกำลังจำกัด ในขณะที่พื้นที่ป่ามีนับล้านไร่ มีชุดลาดตระเวน 15 ชุด เดือนหนึ่งต่อชุด ก็มีการลาดตระเวนมากกว่า 15 วัน 

“เป้าหมายนายพราน คือ เขาจะเอาเนื้อสัตว์ออกมาทำอาหาร โดยไม่ระบุเจาะจงว่าเป็นเนื้ออะไร เรียกว่าเจออะไรก็ยิง ยกตัวอย่าง เดือนกุมภาพันธ์ มีกลุ่มพรานป่าลักลอบเข้าไปล่าเม่น ปรากฏว่าเขาดันยิงกันเอง กลายเป็นศพ ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องช่วยกันขนศพออกมาจากป่าลึก” 

สิ่งที่เกิดขึ้น โดยจุดประสงค์เราไม่ทราบว่าท่านเข้าไปทำอะไร หากท่านต้องการศึกษาธรรมะ เจ้าหน้าที่ก็พร้อมจัดพื้นที่ไว้ให้อยู่แล้ว การเข้าก็ต้องขออนุญาตทุกกรณี หากเข้ามาแล้วก็ต้องปฏิบัติตามระเบียบที่กำหนด 

“เบื้องต้นอยากให้ประชาชนอย่ารีบตัดสินว่าใครดีหรือเลว เพราะสุดท้ายมันคือ เรื่องของ “กรรม” ที่มาจากการกระทำ ใครทำผิดก็ต้องรับไป” 

...

อย่างไรก็ตาม ล่าสุด มีรายงานว่า พระราชชัยสิทธิสุนทร เจ้าคณะจังหวัดชัยภูมิ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า รองเจ้าคณะที่เข้าป่าพร้อมลูกศิษย์ไปเพื่อธุดงค์ปฏิบัติธรรมเท่านั้น และเป็นคนชอบเดินป่า ไม่ได้ล่าสัตว์แต่อย่างใด ส่วนความคืบหน้าทางคดี จะเป็นอย่างไร คงต้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการต่อไป 

อ่านบทความที่น่าสนใจ