ตำรวจตัดตำรวจ 2 คน 2 เส้นทางเฉือนคมชิงอำนาจ“ผมเป็นตำรวจ”วลีอมตะจากภาพยนตร์ “2 คน 2 คม” ของ หลิวเต๋อหัว และ เหลียงเฉาเหว่ย มักถูกหยิบยกขึ้น เมื่อพบปัญหาความไม่ชอบมาพากลในวงการตำรวจ ปัจจุบันนี้ คนในสังคมไทย กำลังจับตาปัญหาของ 2 บิ๊กตำรวจ คือ “บิ๊กต่อ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. คนที่ 14 และ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีต รอง ผบ.ตร. 2 ตำรวจแห่งยุค ผู้นำขององค์กรผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ แต่เมื่อความร่าวฉานเกิดขึ้น จึงทำให้สะเทือนทั้งวงการ! ประวัติและการเติบโตของ 2 บิ๊กตำรวจก่อนจะเริ่มเล่าปัญหา เรามาดูเส้นทางการเติบโตของ 2 คน 2 ตำรวจ กันก่อน ว่า ใครมาจากไหน... บิ๊กต่อ : พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ไม่ได้เรียนจบโรงเรียนนายร้อยตำรวจ แต่เข้ารับราชการตำรวจในช่วงวัย 30 เศษ โดยเริ่มต้นราชการด้วยการเป็นตำรวจสัญญาบัตร ในปี 2541 โดยเริ่มต้นที่ตำรวจท่องเที่ยว เข้ากองกำกับสายตรวจปฏิบัติการพิเศษ 191 เติบโตเป็นผู้กำกับในกองปราบปราม หลังจากนั้นขึ้นเป็นผู้บังคับการกองบังคับการถวายความปลอดภัยและปฏิบัติการพิเศษ และอื่นๆ ใช้เวลา 25 ปี ก้าวสู่ตำแหน่งสูงสุดของ “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” คือ ผบ.ตร. บิ๊กโจ๊ก : พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เรียนจบนักเรียนเตรียมทหาร รุ่น 31, นักเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่น 47 จบปริญญาโท สาขาอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม (สศ.ม.) มหาวิทยาลัยมหิดล และ ปริญญาเอก สาขา รัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย และปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาอาชญาวิทยา มหาวิทยาลัยมหิดล ส่วนงานอบรม ก็เรียกว่ามากมาย ทั้งสายทหาร ตำรวจ หรือ แม้แต่สถาบัน FBI ที่สหรัฐอเมริกา ส่วนงานราชการ เริ่มต้นที่ ตำรวจนครบาล มาเป็นสารวัตรทางหลวง 4 กองกำกับการ 5 (เชียงใหม่) ผู้กำกับการ 3 กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธร จ.สงขลา ผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว จนก้าวสู่ตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. รับราชการมายาวนานมากกว่า 30 ปี เอาเป็นว่า ใครสายแข็งกว่ากัน ก็ลองพิจารณากันดู...คดี “กำนันนก” ชนวนความบาดหมาง ?จากเสียงปืนในงานเลี้ยงบ้าน “กำนันนก” หรือนายประวีณ จันทร์คล้าย สิ่งที่ตามมาคือ “สารวัตรแบงค์” พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว สารวัตรประจำสถานีตำรวจทางหลวง 1 กองกํากับการ 2 ถูกคนร้ายยิง 5 นัดเสียชีวิต ในขณะที่ เวลานั้น พบว่า มีการจัดปาร์ตี้ และมีตำรวจอยู่ภายในงานเลี้ยงมากมาย คดีนี้ ในตอนแรก “บิ๊กโจ๊ก” เป็นผู้ทำคดี และ จะเล่นงานตำรวจทั้งหมด ในข้อหาหนัก บางคนถึงขั้นกำลังจะถูกออกหมายจับ บางคนจะถูกดำเนินคดีในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ด้วยความเครียดอย่างหนัก ทำให้ ผู้กำกับเบิ้ม หรือ พ.ต.อ.วชิรา ยาวไทยสงค์ หรือผู้กำกับเบิ้ม ผกก.2 บก.ทล. หัวหน้าของสารวัตรศิว ตัดสินใจคิดสั้น อย่างไรก็ตาม คดีนี้ มีการเปลี่ยนมือในเวลาต่อมา โดยมีการ “โอน” คดีมาให้กับสอบสวนกลาง นี่เอง จึงมีการตั้งข้อสังเกต ว่า อาจจะเป็น “ชนวนเหตุ” “ตั้งแต่เกิดเหตุตำรวจสอบสวนกลางร่วมสืบสวนคดีมาตั้งแต่แรกจนถึงปัจจุบัน ขณะนี้รับโอนคดีมาทำที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง 2 คดี คือคดียิงสารวัตรศิวและคดีส่วนที่ต้องดำเนินคดีกับตำรวจที่เกี่ยวข้องในความผิดตามมาตรา 157 สำหรับการโอนคดีมาที่ บช.ก. เพราะคดีที่เกิดขึ้นมีผู้มีอิทธิพลเข้ามาเกี่ยวข้องเป็นคดีอุกอาจรุนแรง มีความซับซ้อน เนื่องจากถ้าให้ตำรวจในพื้นที่ดำเนินการอาจจะเจออิทธิพลในพื้นที่จำเป็นต้องโอนคดีมาให้ บช.ก.” พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. แถลง เมื่อวันที่ 18 ก.ย.66ด้านผู้การวิสุทธิ์ วานิชบุตร อดีตรองผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดี ตั้งข้อสังเกตว่า ตอนแรก บิ๊กโจ๊กทำคดี จะเล่นหนักตำรวจทุกคน เรียกว่า เล่นหนักแบบเหมาเข่ง ไม่สนเด็กใคร...ขนาดคนที่ตายไปแล้ว ยังไม่ละเว้น จากเรื่องนี้กลายเป็นว่ามีการสร้างรอยแผลบาดหมางกัน ระหว่าง “ลูกน้อง” หากใครมีโอกาสเล่นงานฝ่ายตรงข้ามก็ซัดกันไม่ยั้ง หากมีโอกเลียบค่าย ทลายเว็บพนัน ค้นบ้าน “บิ๊กโจ๊ก” ? จากปฏิบัติการ “Big Cleaning Day กวาดบ้านตำรวจ” พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.กมค. หัวหน้าชุด PCT4 เปิดปฏิบัติการนี้ ไล่ค้น 30 จุด 6 จังหวัด ปรากฎว่า บ้านที่ค้น 4 หลังในซอยวิภาวดีรังสิต 60 กลายเป็นบ้านบิ๊กโจ๊กพล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. กล่าวว่า การตรวจค้นวันนี้ทีแรกคิดว่าตรงนี้ไม่ใช่ที่พักของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ แต่น่าจะมีผู้ต้องหาตามหมายจับบางคนมาพักอาศัยจึงตรวจค้น แต่ในรายละเอียดตนไม่ทราบว่าออกหมายจับกี่คน ส่วนการตรวจค้นทำให้ทราบว่า เป็นอาคารที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์เป็นผู้ครอบครองทั้งหมด แต่ไม่เจอสิ่งที่เกี่ยวข้อง เหตุที่ตรวจค้นตนเห็นว่า ทำตามรายงานการสืบสวนสอบสวน 1.เมื่อเจอบุคคลตามหมายจับ และ 2.ต้องการพยานหลักฐานเพิ่มเติมจึงตรวจค้น มีหน่วยร่วมปฏิบัติหลายหน่วยทั้ง PCT ของ ตร. บช.น. และ บช.สอท. สนับสนุนกำลัง แต่ยืนยันว่าในรายละเอียดตนไม่ทราบพล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.กมค.ฐานะหัวหน้าชุด PCT 4 ระบุว่า การกวาดล้างเครือข่าย แก๊งพนันออนไลน์ คดีนี้มีผู้ต้องหาถูกออกหมายจับลอตแรกรวมทั้งสิ้น 23 คน เป็นตำรวจทีมงานของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ 8 นาย นอกนั้นเป็นพลเรือน สำนวนการสอบสวนย้อนไปตั้งแต่เมื่อปลายเดือน ก.ค. มีการแจ้งความดำเนินคดีที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ ขณะนี้ติดตามผู้ต้องหาตามหมายจับได้แล้ว 17 คน ตำรวจถูกจับกุมครบแล้ว 8 นาย ยังขาดพลเรือนอีก 6 คนที่หลบหนี...ฉุน ขอหมายค้นไม่สุจริต สิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้บิ๊กโจ๊ก ออกอาการหัวเสีย ให้สัมภาษณ์ และเชื่อว่า การออกหมายค้นครั้งนี้เป็นการออกหมายโดยไม่สุจริต เพราะว่าการขอหมายค้นโดยแจ้งกับศาลเพียงเเค่บ้านเลขที่เท่าไหร่ แต่ไม่ได้บอกศาลว่าเป็นบ้านใคร โดยที่ตำรวจหลายนายรู้อยู่แล้วว่าเป็นบ้านของตน แต่ไม่เป็นไร เมื่อมีหมายมาเเล้วต้องให้ค้น เพียงแต่ต้องมีตำรวจชั้นผู้ใหญ่ร่วมตรวจค้นด้วย เมื่อค้นไม่พบสิ่งผิดกฎหมายใดๆ ในการตรวจค้นบ้านนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ต้องมีพยานหลักฐาน กรณีนี้ต้องมีเส้นทางการเงินที่ผิดกฎหมาย แต่นี่กลับไม่มีเส้นทางการเงินมาถึงตนเลยสักเส้นเดียว เพราะฉะนั้นในส่วนการดำเนินการตนจะมาไล่ดำเนินคดีทั้งหมด...“ทั้งหมดไม่เกินเรื่องการเมืองในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หากโดนดำเนินคดีก็ต้องโดน แต่ต้องเชื่อมั่นลูกน้องเพราะเป็นชุดทำงานเดียวกัน หากสืบสวนสอบสวนแล้วพบว่าผิดจริงต้องดำเนินคดีอาญา คนไหนผิดตนไม่ปกป้อง วันนี้ยังหาคนสั่งการตรวจค้นไม่ได้ เรื่องนี้ใครทำต้องรับผิดชอบ เป็นการดิสเครดิตและทำให้ตนเองเสียชื่อ เรื่องแบบนี้เจอมาเยอะแล้วและเตรียมตัวรับแรงกระเเทกแบบนี้แล้วเช่นกัน”ไม่หวัง...พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ อธิบายในส่วนการแต่งตั้ง ผบ.ตร. ตนเป็นเบอร์ 2 ไม่ได้คิดไปออฟไซด์ใครอยู่แล้ว ตาม พ.ร.บ.ตำรวจยึดหลักอาวุโส ตนยังสนุกกับการทำงาน ที่ผ่านมาไม่เคยคุยหรือไปแข่งขันกับใคร เพราะยังเหลือเวลาอีกเยอะ ตื่นเช้ามาได้ทำงานก็พอใจแล้ว ส่วนใครจะได้เป็น ผบ.ตร. เป็นเรื่องของนายกรัฐมนตรี เป็นเรื่องของผู้บังคับบัญชาของ ตร.พิจารณา ตัวชี้วัดอยู่ที่ประชาชน ตนมีหน้าที่ทำงานตามหน้าที่ให้ดีที่สุดนายกฯ ไม่แน่ใจ โยงตั้ง ผบ.ตร. นักข่าวถามฯ นายเศรษฐา ทวีสิน กล่าวถึงกรณีค้นบ้านบิ๊กโจ๊กเกี่ยวข้องกับการตั้ง ผบ.ตร. หรือไม่ เนื่องจากใกล้เวลาที่กำหนดจะประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) (วันที่ 27 ก.ย.66) นายกฯ ตอบว่า “ไม่แน่ใจ... อาจต้องดูความเกี่ยวข้องทั้งหมด” ขณะที่ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. (ขณะนั้น) ให้สัมภาษณ์ย้ำว่า ต้องให้ความเป็นธรรม ตรวจสอบให้ชัดเจนทุกเรื่อง ส่วนตัวคิดว่าไม่เกี่ยวการแต่งตั้ง ผบ.ตร. และไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องความขัดแย้งภายในองค์กร เพียงแต่หลักฐานไปถึงใคร มันมีคดีตั้งต้นอยู่สอบสวนขยายผลไป“บิ๊กต่อ” ผงาด ผบ.ตร.คนที่ 14 21 กันยายน 2566 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในการประชุม คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ที่ห้องประชุมศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในวาระสำคัญการพิจารณาผู้ที่เหมาะสมดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) คนที่ 14 รอง ผบ.ตร. ที่เป็นแคนดิเดต ผบ.ตร. ประกอบด้วย 1. พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. ที่มีความอาวุโสเป็นลำดับที่ 1 2. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ที่มีความอาวุโสเป็นลำดับที่ 2 3. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. ที่มีความอาวุโสเป็นลำดับที่ 3 4. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ที่มีความอาวุโสเป็นลำดับที่ 4บิ๊กต่อ ผงาด ผบ.ตร. ทั้งนี้ ผลการประชุม ก.ตร. มีมติ 9 : 2 ให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล นั่งดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร.คนที่ 14“การคัดเลือกแต่งตั้ง ผบ.ตร.ไม่เป็นหลักเกณฑ์ตามที่กฎหมายกำหนดไว้”“ผมขอยืนยัน ได้แสดงความคิดเห็นด้วยบริสุทธิ์ใจ ใช้วิจารณญาณและดุลพินิจ ภายใต้กรอบของกฎหมาย ไม่ยอมตกอยู่ภายใต้อาณัติของบุคคลใด เพื่อประโยชน์ขององค์กรตำรวจและประเทศชาติบ้านเมือง”นี่คือ เสียงของ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ หนึ่งเดียวใน ก.ตร. ที่ไม่โหวตให้ “บิ๊กต่อ”ในเวลาต่อมา มีการเผยแพร่ ภาพถ่ายคู่กันระหว่าง “บิ๊กต่อ” และ “บิ๊กโจ๊ก” สื่อถึงนัยในการเคลียร์ใจ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า เป็นคนเรียก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มาพบ เพื่อพูดคุยว่ามีเรื่องอะไร ตนรับทราบนโยบายของนายกฯว่าอยากให้แก้ปัญหาภาพรวมขององค์กร ถ้า ตร.ทะเลาะกัน เด็กๆจะมองเราอย่างไร เราอาจไม่ได้ทะเลาะกัน แต่อาจมีคนไม่หวังดี ผมบอกน้องว่าเราอย่าทะเลาะกันมีคนไม่หวังดี เรื่องนี้อาจมีคนนอกมองว่าองค์กรตำรวจทะเลาะกันหรือเปล่า อาจเป็นเพราะมีคดีเกิดขึ้นในช่วงนั้นหลายคดี นายกฯบอกถ้าไม่ได้ทะเลาะกันก็ไปแก้ปัญหา เป็น ผบ.ตร.แล้วไปแก้ปัญหา“คืนนั้นผมพูดว่าในชีวิตของพี่ พี่บอกกับโจ๊กเสมอว่า ถ้าขาดจากพี่ไปแล้วเอ็งหาคนที่จริงใจกับเอ็งแบบพี่ไม่ได้หรอก หากมีอะไรเข้ามาในชีวิตต้องมีสติก่อน เพราะหากเรามีสติเราจะแก้ปัญหาด้วยปัญญา แต่หากขาดสติเราจะแก้ปัญหาด้วยอารมณ์ และที่มีปัญหาทุกวันนี้มาจากคนขาดสติและแก้ปัญหาด้วยอารมณ์ ผมเป็นคนจริงใจ ไม่มีเล่ห์เลี่ยม ไม่เคยยิงกระสุน ไม่แทงใครลับหลังแน่นอน” ผบ.ตร.กล่าว คดีเว็บพนัน โยงถึง บิ๊กโจ๊ก 21 กุมภาพันธ์ 2567 มีการแจ้งข้อหากลุ่มคนที่ทำผิด กรณีเว็บพนัน ซึ่งนอกจาก แก๊งมินนี่แล้ว และ ลูกน้องของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์แล้ว ตัว “บิ๊กโจ๊ก” ก็โดนด้วย... พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว โฆษกชุดสืบสวนสอบสวน เว็บพนันเจ้าแม่มินนี่ระบุว่า คดีนี้แยกเป็น 2 สำนวน คดีแรกมีตำรวจและประชาชนเป็นผู้ต้องหา 61 คน เป็นคดีหลักมีพนักงานสอบสวนตำรวจรับผิดชอบ อีกคดีเป็นการสืบสวนขยายผลพบผู้ต้องสงสัยมีส่วนเกี่ยวข้องเพิ่มอีก 5 ราย เป็นตำรวจ มีการร้องทุกข์กล่าวโทษ สำนวนอยู่ในความรับผิดชอบของ ป.ป.ช. เพราะมีผู้ถูกกล่าวโทษเป็นตำรวจชั้นผู้ใหญ่ อยู่ระหว่างพิจารณาของ ป.ป.ช.ว่าจะส่งให้ตำรวจดำเนินการต่อหรือจะรับดำเนินการเอง เบื้องต้นได้ทำหนังสือไปยัง ป.ป.ช. ขอรับสำนวนกลับมาดำเนินการเนื่องจากมองว่าเป็นคดีเกี่ยวพันต่อเนื่องกับคดีแรกเมื่อถามว่าในคดีที่ 2 เจ้าหน้าที่ทั้ง 5 ราย มีชื่อ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. อยู่ด้วย หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติกล่าวยอมรับว่ามี ตามที่ปรากฏบนสื่อต่างๆจริง ทั้ง 5 รายถูกดำเนินคดีตามมาตรา 157, 149 หาก ป.ป.ช.ส่งสำนวนกลับมาให้พนักงานสอบสวนจะแจ้งข้อหาฐานฟอกเงินเพิ่มเติมกับทั้ง 5 อีกข้อหาต่อมามีการออกหมายเรียก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ โดยเชื่อมโยงกับคดีฟอกเงินเว็บพนัน BNK มาสเตอร์ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า ไม่ได้เป็นการกลั่นแกล้งทุกอย่างเป็นไปตามพยานหลักฐาน วันที่ 17 มี.ค. เป็นการออกหมายเรียกครั้งที่ 1 มีกำหนดให้ไปรายงานตัวในวันที่ 21 มี.ค.67 ที่ สน.เตาปูน เป็นไปตามสิทธิ์ของผู้ถูกกล่าวหาว่าจะเข้าไปรับทราบข้อกล่าวหาหรือไม่ แต่ถ้าหากออกหมายเรียกครบ 2 ครั้งแล้วยังไม่ไปรับทราบข้อกล่าวหา ขั้นตอนต่อไปพนักงานสอบสวนพิจารณาออกหมายจับ ในเวลาต่อมา ได้มีทนายชื่อดัง ออกมาแถลงข่าว โยงข้อมูลเส้นทางการเงินคนใกล้ชิดของ “บิ๊กต่อ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า เส้นทางการเงินจะสะเทือนไปทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่า ถ้าพยานหลักฐานถึงใครต้องรับสภาพหากชี้แจงไม่ได้ รวมถึงถ้าเส้นเงินถึงตนก็ต้องรับสภาพเช่นเดียวกัน พยานหลักฐานทุกอย่างพิสูจน์ได้ตามวิทยาศาสตร์ มองว่าสำนักงานแห่งตำรวจแห่งชาติจะแตกได้อย่างไรจะต้องดำรงอยู่ ส่วนใครจะผิดว่าไปตามความผิด “หากมีข้อมูลจริงก็ขอให้ออกมายืนยัน รวมทั้งการกล่าวอ้างว่ามีการจ่ายเงินให้กับนายพล ต. และเครือญาติ ต้องตรวจสอบเช่นกัน หากมีข้อมูลขอให้เปิดออกมาเลย เพราะหากเป็นการพูดลอยๆแบบนี้จะถือเป็นการด้อยค่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์กล่าวโยกย้ายครั้งประวัติศาสตร์ จากการแถลงตอบโต้กันไปมา สุดท้าย นายกเศรษฐา ทวีสิน ได้เรียกทั้งคู่ เข้าทำเนียบรัฐบาล ก่อนทั้งสองคนจะมาแถลงข่าวร่วมกัน "นายกฯ เน้นเรื่องเดียวคือต้องทำงานให้กับประชาชน และให้องค์กรตำรวจมีความสามัคคี”พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าว พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ย้ำว่า จริงๆ เราไม่มีความขัดแย้ง แต่มีคนพยายามให้มีความขัดแย้งเกิดขึ้น สื่อมวลชนเองก็แบ่งสองฝักสองฝ่าย อยากให้เป็นเนื้อเดียวกัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีหน้าที่ในการดูแลชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอีกตั้งเยอะ ทำไมสื่อไม่โฟกัสให้พวกตนไปทำงานแบบนั้น แต่โฟกัสเหมือนพวกตนขัดแย้งกัน ตนไม่เคยขัดแย้งใคร"ถามว่าผมเครียดไหม ก็เครียด แต่พยายามทำให้ดีที่สุด ไม่ให้เกิดภาพความขัดแย้ง อยากให้ลูกน้องมีความสุขและขวัญกำลังใจ ไม่อยากให้เป็นประเด็น จึงตัดสินใจไปหานายกฯ" พล.ต.อ.ต่อศักดิ์กล่าว"วันนี้เราต้องเสียสละเรื่องราวในอดีต ลูกน้องผมมีคดีก็ไปแก้เอา แต่วันนี้งานที่ ผบ.ตร.มอบหมายทุกหน้างานผู้บังคับบัญชาต้องทำเต็มที่ภายใต้ความไม่ขัดแย้ง วันนี้ต้องจบ เซตซีโร" พล.ต.อ.สุรเชษฐ์กล่าวอย่างไรก็ตาม หลังแถลงข่าวจบไม่นาน ก็มีคำสั่ง เด้ง 2 นายพล นายเศรษฐามีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีเรื่อง ให้ข้าราชการมาปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เนื้อหาระบุให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. มาปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรีนอกจากนี้ นายกฯ มอบหมายให้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพชร รองผบ.ตร. รักษาการแทน ผบ.ตรถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์หรือไม่ที่ย้าย ผบ.ตร.กับรอง ผบ.ตร.พร้อมกัน พล.ต.อ.ต่อศักดิ์กล่าวว่า ตนจะได้พักและสบายใจมาก เพราะอย่างน้อยก็ได้พักสมอง เบื่อเรื่องการมองภาพของความขัดแย้ง เพราะเราอยู่กันแบบพี่น้อง และตนพูดเสมอว่าหากบริหารงานไม่ผ่านก็ต้องพิจารณาตนจะต้องทุกข์อะไร"มูลเหตุคำสั่งย้ายยังไม่ทราบ ต้องดูรายละเอียดอีกครั้ง แต่จะเกิดจากความขัดแย้งระหว่างผมกับ ผบ.ตร.หรือไม่ ก็ไม่ยืนยัน เพราะช่วงเช้าก็ไม่เห็นสัญญาณบ่งชี้ใดๆ นายกฯ กำชับเพียงเรื่องการทำงานอย่างเดียว" พล.ต.อ.สุรเชษฐ์กล่าวรองโจ๊กถูกออกหมายจับ ก่อนถูกให้ออกจากราชการไว้ก่อน 2 เม.ย.67 ศาลอนุมัติหมายจับเลขที่ 1396/2567 ข้อหาสมคบฟอกเงินฯ ร่วมกันฟอกเงิน โดยศาลให้เหตุผลว่า คดีมีพยานหลักฐานเชื่อได้ว่าเป็นความผิด ตาม ป.วิ อาญา ม.66 ผู้ต้องหามีพฤติการณ์หลีกเลี่ยงหมายเรียกของพนักงานสอบสวนและคดีนี้เป็นอำนาจของศาลอาญา พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาการ ผบ.ตร.ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ถูกออกหมายจับว่า เรื่องนี้ผู้เกี่ยวข้อง ดำเนินการตามกฎหมาย เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนทำเรื่องเสนอไปยังศาล ทั้งหมดเป็นไปตามขั้นตอนและกระบวนการ ส่วนกรณีที่ทนายของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุได้ส่งพยานหลักฐานมาให้รักษาการ ผบ.ตร.แล้วนั้น เป็นเรื่องที่ร้องเรียนเมื่อวันที่ 25 มี.ค. ฝ่ายกฎหมายอยู่ระหว่างพิจารณาเวลา 17.30 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ที่เพิ่งถูกออกหมายจับไม่ถึง 2 ชั่วโมงเดินทางมาที่ สน.เตาปูน เมื่อสอบปากคำประมาณ 2 ชั่วโมง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ใช้เงินสด 1 แสนบาท ประกันตัวก่อนเดินทางกลับ 5 เม.ย. พล.ต.อ.วินัย ทองสอง 1 ในคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีปรากฏเป็นข่าวต่อสาธารณะเกี่ยวกับความขัดแย้งในเรื่องคดีของบุคลากรภายใน ตร. แถลงความคืบหน้าการตรวจสอบเป็นครั้งแรก ว่า“จากการตรวจสอบเบื้องต้น ทั้งพยานหลักฐานและพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเกือบ 30 คน คณะกรรมการมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกับศาลเชื่อว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์มีส่วนร่วมกระทำผิดจริง พบการฟอกเงินจากเส้นทางการเงินเว็บพนันออนไลน์มายังบัญชีม้าและเชื่อมโยงมายัง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ คณะกรรมการเชื่อว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์รู้และได้รับประโยชน์บางส่วนจากการกระทำดังกล่าว ทั้งนี้คณะกรรมการยังต้องตรวจสอบพยานหลักฐานเพิ่มเติมอีกหลายรายการ” พล.ต.อ.วินัยกล่าวจากนั้น ก็มีกระแสข่าวว่า จะมีการ “พักราชการ” บิ๊กโจ๊ก กระทั่ง มีคำสั่ง ให้ออกจากราชการไว้ก่อน ลงนามโดย “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรท.ผบ.ตร.) มีหนังสือคำสั่งที่ 178/2567 ลงวันที่ 18 เม.ย.2567 เรื่องให้ข้าราชการตำรวจออกจากราชการไว้ก่อน ใจความว่า ด้วยข้าราชการตำรวจดังต่อไปนี้ 1.พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ 2.พ.ต.อ.กิตติชัย สังขถาวร รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา 3.พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ รองผู้กำกับการป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจภูธร พระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ 4.ส.ต.อ.ณัฐวุฒิ หวัดแวว ผู้บังคับหมู่ (ทำหน้าที่จราจร) งานปฏิบัติการจราจรตามโครงการพระราชดำริ 1 กองกำกับการ 6 กองบังคับการตำรวจจราจร และ 5.ส.ต.อ.ณัฐนันท์ ชูจักร ผู้บังคับหมู่ งานสายตรวจ 1 กองกำกับการ 1 กองบังคับการตำรวจจราจร“มองว่า มีการกลั่นแกล้ง และมีขบวนการแบ่งงานกันทำ และตั้งข้อสังเกตว่า ที่ผ่านมา ได้ทำหนังสือขอความเป็นธรรมมาโดยตลอด แต่ภายหลังจากที่มีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน (18 เม.ย.) 1 วัน หลังจากนั้น คณะพนักงานสอบสวนส่งสำนวนให้กับ ป.ป.ช. (19 เม.ย.) จึงมองว่า ถ้ามีการส่งสำนวนให้ ป.ป.ช. ตั้งแต่แรก ผมจะอยู่ในฐานะผู้บริสุทธิ์ จนกว่าคณะกรรมการจะชี้มูล และคดีจะเป็นที่สิ้นสุด ซึ่งตามกฎหมายจะไม่สามารถแต่งตั้งหรือโยกย้ายตนได้...ถ้าสอบสวนอย่างเป็นธรรม แล้วผมผิดจริงผมออกเลย เพราะถ้าเป็นคนอื่นคงหมอบไปแล้ว” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกมาให้สัมภาษณ์ หลังโดนคำสั่งออกจากราชการไว้ก่อน ท้าชน แฉ กระเหี้ยนกระหือรือ หลังจากโดนคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน “บิ๊กโจ๊ก” ก็ได้เปิดแถลงข่าวรายวัน พร้อมเดินทางยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม ทั้ง ป.ป.ช. รวมถึงล่าสุด (วันที่ 25 เม.ย.) กับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในประเด็น ออกคำสั่งไม่เป็นธรรม พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า การมาดำเนินการในส่วนของคำสั่งทางปกครองที่ให้ตนออกจากข้าราชการไว้ก่อนนั้น เป็นผลต่อเนื่องมาจากคดีอาญา ว่าเป็นการอแก้คำสั่งโดยชอบหรือไม่ หากเห็นว่าเป็นการออกโดยไม่ชอบขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว ซึ่งวันนี้เป็นภาคของคำสั่งให้ออกจาราชการไว้ก่อนและเรื่องทั้งหมดเป็นขบวนการ 4×100 ที่มักใช้ในขบวนการค้ายาเสพติด ที่ใช้อำนาจ มีลักษณะทำเป็นกระบวนการ ตั้งแต่ชุดตรวจค้นที่เข้าไปตรวจบ้านตนที่มาจาก 4 ต. โดยมี ต่อ เต่า ตุ้ม ไตร โดยพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆ พบเส้นเงินบัญชีม้า 500 ล้านบาท แต่ไม่ส่งดีเอสไอ และทาง ป.ป.ช. เห็นไม่มีอำนาจในการสอบสวนจึงเรียกสำนวนคืน ทำให้ไม่สามารถทำอะไรตนได้ จึงเปลี่ยนวิธีเป็นการทำคดีใหม่โดยนำเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ เอาคดีเดิมมาแจงรายละเอียดย่อยไปทำที่ สน.เตาปูน เก็บคดีไว้ 4 เดือน“มีขบวนการ “4 คูณ 100” สยบปีก “พระพรหม” ซึ่งขบวนการนี้เป็นพวกเสพติดอำนาจ อยากมีอำนาจ ประพฤติชั่ว โดยแบ่งงานกันทำ ดังนี้ ขบวนการที่ 1 ชุดตรวจค้น ตระกูล 4 ต. (ต่อ เต่า ตุ้ม ไตร) เข้าตรวจค้น ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย ขบวนการที่ 2 พนักงานสอบสวน ชุดคดี สน.ทุ่งมาเมฆ ไม่มีอำนาจสอบสวน ต้องส่ง DSI ขบวนการที่ 3 พนักงานสอบสวน ชุดคดี สน.เตาปูน รู้ว่าไม่มีอำนาจสอบสวน แต่ไม่ส่ง DSI, ป.ป.ช. ภายในกำหนด เพื่อรอเวลาออกหมายเรียก-หมายจับขบวนการที่ 4 ชุดรักษาราชการแทน ผบ.ตร. ตั้งกรรมการสอบสวน และให้ออกจากราชการ” บิ๊กโจ๊ก กล่าวเรื่องวินัยการสั่งให้ออกราชการไว้ก่อนได้ใช้เหตุผลกับตนว่า 1. ถูกกล่าวหาว่าผิดวินัยร้ายแรง จนต้องถูกตั้งกรรมการสอบสวน 2. อยู่ในตำแหน่งแล้วเสียหายต่อองค์กรตำรวจ 3. การสอบสวนจะไม่แล้วเสร็จโดยเร็ว แต่การอ้างเหตุผลมาแบบนี้มันผิดกฎหมาย เพราะถูกกล่าวหาตั้งแต่ 2 ธ.ค. 2566 ก่อนจะมีการสั่งย้ายให้ประจำสำนักนายกฯ 29 วัน สงสัยว่าจะทำให้ ตร.เสียหายอย่างไร...?นี่คือ เรื่องที่ “บิ๊กโจ๊ก” คาใจ อย่างไรก็ดี... สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ คงต้องรอดู แนวทางการแก้ปัญหาของ สตช. ว่าจะเป็นอย่างไร สามารถกอบกู้ความเชื่อมั่นจากประชาชนได้หรือไม่ เวลาไม่นานคงพิสูจน์ให้เห็นกัน...