ปมขัดแย้งระหว่าง “บิ๊กต่อ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. กับ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. จบแบบง่ายๆ จริงหรือ หลัง 2 นายพล จูงมือตั้งโต๊ะแถลงข่าวโชว์โอบเอวรักกันหวานเจี๊ยบ สยบรอยร้าวเซตซีโร่ความขัดแย้งที่เคยเกิดขึ้นซัดกันไปมา จนคนงงเป็นไก่ตาแตก และในวันเดียวกันเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งให้ทั้งคู่ มาช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นเวลา 60 วัน มีผลทันที
มอบหมายให้ "บิ๊กต่าย" พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพชร รองผบ.ตร. ทำหน้าที่รักษาการ ผบ.ตร. พร้อมกับแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงจำนวน 3 คน ทำการตรวจสอบข้อขัดแย้งทุกเรื่อง ทุกคดีที่มีการกล่าวโทษระหว่างกัน ก่อนส่งข้อสรุปให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาจะย้ายนายตำรวจทั้งสองกลับมาทำงานตามปกติ หรือจะให้ช่วยราชการสำนักนายกฯ ต่อไป
ขณะที่อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม อ้างว่าการแถลงข่าวเคลียร์ใจกันระหว่างบิ๊กต่อและบิ๊กโจ๊ก มีการกำหนดล่วงหน้ามาแล้ว เป็นมวยล้มต้มคนดู และมีอดีตผบ.ตร. พาบิ๊กต่าย ไปพบทักษิณ ชินวัตร เมื่อคืนวันที่ 19 มี.ค. มีการกำหนดไว้แล้วว่าจะต้องมีคำสั่งย้ายให้ทั้งคู่ช่วยราชการ สาเหตุมาจากอำนาจมืดทางการเมือง และจะแฉข้อมูลทั้งหมดในวันที่ 21 มี.ค. นี้ ถึงเบื้องลึกเบื้องหลังผู้บงการที่เกี่ยวข้อง
...
หรือเรื่องที่เกิดขึ้นจะเป็นปาหี่ แต่ในมุมมองของ "ศ.พล.ต.ท.ดร.พิศาล มุขแจ้ง" อดีตหัวหน้าอาจารย์วิชาอาชญาวิทยา โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน และรองนายกสมาคมพนักงานสอบสวน ไม่คิดว่าใช่ และเห็นว่าต่างคนต่างแสดงความรู้สึก เพื่อไม่ให้ถูกสังคมมองในทางลบ จะต้องพยายามหาหลักฐานเพื่อมาชี้แจงความบริสุทธิ์ และในฐานะอดีตตำรวจคาดหวังให้ทุกอย่างจบด้วยดี เพราะเชื่อว่าผู้บริหารระดับสูงขององค์กรตำรวจ มีความรักในองค์กร และมีความหวงแหนจะปกป้ององค์กร
แม้เป็นความขัดแย้งระหว่างบิ๊กต่อและบิ๊กโจ๊ก แต่เกิดจากความไม่เข้าใจกัน เป็นการมองต่างมุม อย่างบิ๊กโจ๊ก มองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้จะเป็นได้หรือไม่ในการตัดแข้งตัดขาไม่ให้ขึ้นสู่ตำแหน่งระดับสูงขององค์กรตำรวจ ขณะที่อีกคนก็ยืนยันทำตามหลักฐานที่พึงจะกระทำ ทั้งนี้ทั้งนั้นมาจากความไม่เข้าใจ การไม่ได้ประสานงานระหว่างกัน และยังให้ทนายมาให้ข่าวเรื่องเว็บพนันให้เงินกับตำรวจ ทำให้คนสับสนว่าไปเกี่ยวข้องกับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ทั้งที่พยานหลักฐานยังไม่ชัดเจน
“อยากให้คนในองค์กรตำรวจมีความสามัคคี เพื่อความสงบสุขของประชาชน และการกระทำอะไรก็ตามที่ผิดกฎหมาย ก็ต้องว่าไปตามกระบวนการยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ทุกคนกระทำผิดก็ต้องรับโทษ ซึ่งทั้ง 2 ท่านเป็นผู้มากความรู้ มากประสบการณ์ และมีวิจารณญาณสูงส่ง ในการเป็นผู้นำองค์กร น่าจะมีอะไรมีความรับผิดชอบต่อองค์กร เชื่อว่าทั้งสองมุ่งมั่นทำงานทั้งคู่ สิ่งที่เกิดขึ้นต้องดูระยะยาว อย่าด่วนสรุปตัดสินจากโซเชียล เพราะมีกระบวนการยุติธรรมเป็นหลักในการตัดสิน”
ส่วนคำสั่งให้ทั้งคู่มาช่วยราชการสำนักนายกฯ คิดว่านายกรัฐมนตรีอาจมองเห็นว่าอาจทำให้สถานการณ์ดีขึ้น หรือดีขึ้นในแง่การให้ข่าวอาจน้อยลง และที่สำคัญนายกรัฐมนตรี อยู่ในฐานะประธาน กต.ร. จะต้องทำสถานการณ์ให้ดีขึ้น จากความไม่เข้าใจกันในเชิงความคิด และการกระทำของผู้บริหารบางท่าน อาจสร้างความขุ่นเคืองกับบางท่าน ซึ่งถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่ายต้องรับฟังความเห็นซึ่งกันและกัน และต่างฝ่ายต้องถอยหลัง อาจมีการขอขมา ขออภัยที่ล่วงเกินกันบ้าง และการที่บิ๊กโจ๊ก ถอนฟ้องพล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. เป็นเรื่องสมควรกระทำ เพื่อลดความขัดแย้งลง และคิดว่าจะจบด้วยดี
ที่ผ่านมาต่างฝ่ายต่างกล่าวหามีการให้เงินตำรวจ เป็นการตีความจากคนภายนอก ตามสัญลักษณ์ที่ปรากฏในการใช้อักษรย่อ จนเกิดการตีความ หากเป็นนักอาชญาวิทยาจะมองว่าการกระทำต่างๆ หรือพฤติกรรมต่างๆ จะเป็นแบบใดขึ้นอยู่กับการตีความของสังคม อาจถูกหรือไม่ถูกก็ได้ เพราะข้อเท็จจริงไม่มีใครทราบ เพียงแต่มีคนคาดว่าคิดว่าจะเป็นแบบนี้
เส้นทางเติบโตต้องชัดเจน ไม่ต้องพึ่งแก๊งธุรกิจสีเทา
...
แต่ต้องยอมรับว่าองค์กรตำรวจในภาพกว้าง เป็นองค์กรเดียวของหน่วยงานราชการไทยที่ได้รับการจัดสรรงบไม่เป็นธรรม จนเกิดกระบวนการเรียนรู้รูปแบบการทำงานในลักษณะเอาตัวรอด ต้องทำงานให้มีประสิทธิภาพตามงบที่มีจำกัด หรือที่เรียกว่างบขาดแคลน แต่นักการเมืองที่ดูแลตำรวจ คาดหวังจะให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ จนมีคำพูดกับตำรวจทุกคน ถูกพูดเป็นเสียงเดียวว่าถ้าทำไม่ได้ก็ย้ายไป ทำให้ตำรวจไปขอความช่วยเหลือจากคนรู้จักทั้งคนดีและคนไม่ดี
“บางคนเป็นคนดีก็ช่วยด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับอบายมุข เกี่ยวกับพนัน หวยใต้ดิน ธุรกิจสีเทา ตำรวจไปขอความช่วยเหลือจากคนกลุ่มนี้ เอาเงินของคนเหล่านี้มา ทำให้ตำรวจมีวัฒนธรรมองค์กรที่สังคมเรียกว่ารับผลประโยชน์ แต่ก็มีตำรวจบางส่วนเอาเงินเหล่านี้มาทำงานจริงๆ อาจมีบางส่วนเท่านั้น ซึ่งไม่ควรกระทำ ตำรวจไม่ควรมีพฤติกรรมเช่นนั้น หากได้งบดีพอ ก็คงไม่มีใครไปเกลือกกลั้วยุ่งเกี่ยวกับพวกธุรกิจสีเทา”
อีกประการหนึ่งเส้นทางเจริญเติบโตของตำรวจไม่ชัดเจน ไม่เป็นธรรม ซึ่งสำคัญมาก อย่างสมัยก่อนมีการซื้อตำแหน่ง ก็เอาเงินมาจากธุรกิจสีเทา หากมีการออกระเบียบต่างๆ ให้ตำรวจทุกนายเห็นเส้นทางเจริญเติบโตในอาชีพ มีการแต่งตั้งอย่างมีคุณธรรม ทำให้ทุกคนเห็นความหวัง จะได้ไม่มีใครประพฤติผิดนอกลู่นอกทาง อยากฝากให้ผู้เกี่ยวข้องพิจารณาว่าตำรวจทุกหน่วยงาน ไม่ว่าหน่วยงานใด ต้องมีความสำคัญเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะทำงานที่ใดก็มีความสุข ไม่ใช่ทุกคนต้องการไปทำตรวจคนเข้าเมือง ผลประโยชน์ต้องไม่มี ทุกหน่วยมีความสำคัญในการเป็นฟันเฟืองปกป้องปราบปรามให้กับประชาชน
...
สุดท้ายรัฐบาลต้องลงทุนกับองค์กรตำรวจ ให้เป็นไปตามมาตรฐานของนานาประเทศ ให้เป็นหน่วยงานที่เป็นต้นทางกระบวนการยุติธรรมที่ดี เพราะตราบใดตำรวจไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็ไม่สามารถอำนวยความยุติธรรม และรักษาความสงบสุขให้กับประชาชนอย่างเต็มที่ จะต้องดูตำรวจให้ดีด้วยการทุ่มเทงบ และต้องมีหน่วยงานตรวจสอบการทำงาน มีการลงโทษอย่างจริงจังและรุนแรง เพื่อไม่ให้ใครประพฤติผิด ต้องฝึกอบรมเรื่องคุณธรรม และค่านิยมของการเป็นตำรวจ ไม่ให้มักมากต่อลาภผล รวมถึงการคัดเลือกตำรวจต้องเลือกคนดี ไม่ใช่คนเก่ง.