ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และปี 2566 มีประชากรอายุเกิน 60 ปี มากกว่า 20% ของประชากรทั้งหมด ด้วยสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป คนโสดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และมีลูกน้อยลง ทำให้ผู้สูงอายุในอนาคตมีแนวโน้มอยู่ตามลำพัง จะต้องพึ่งพาตนเองให้มากขึ้น

ใครเคยคิดหรือไม่ เมื่อเข้าสู่วัยเกษียณเป็นผู้สูงอายุจะมีชีวิตการเป็นอยู่อย่างไร หากไม่มีเงินออมเพียงพอยังชีพ ยังไม่รวมถึงค่าใช้จ่ายยามเจ็บป่วย เพราะเงินช่วยเหลือจากสวัสดิการของรัฐไม่น่าเพียงพอ ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ หรือบางคนคิดว่าในช่วงอายุ 60-80 ปี ต้องมีเงินเก็บอย่างน้อย 2 ล้านบาท ก็น่าจะดูแลตัวเองได้ อาจจะไม่ใช่ในยุคนี้

ปรากฏการณ์ “แก่ไร้เงินออม” ในสังคมไทย และต้องพึ่งเบี้ยผู้สูงอายุจากรัฐบาลที่เป็นมาตรการเชิงรับใช้งบประมาณมหาศาลในการดูแล อาจไม่ใช่ทางออกในอนาคตอีกต่อไป และหนึ่งในทางออกจะต้องส่งเสริมให้คนไทยด้วยมาตรการเชิงรุก ”แก่ดีมีออม” ดูแลตนเองได้ยามเกษียณ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ในปัจจุบันที่มีแนวโน้มจะอายุยืนมากขึ้น จะได้ไม่ประสบปัญหา “แก่ไปไร้เงินออม” แบบเดียวกับคนแก่ในปัจจุบัน

...

อคติพฤติกรรมคน อุปสรรคออมเงิน ไม่พอใช้ตอนแก่

จากข้อเสนอของ ”วราวิชญ์ โปตระนันทน์” นักวิจัยนโยบายด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เพราะประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และผู้สูงอายุส่วนใหญ่ไม่มีเงินออม เป็นความเปราะบางมากๆ ในสังคมไทย จึงต้องหามาตรการเชิงรุกในการออมเงินในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่จะเป็นผู้สูงอายุในอนาคต และที่น่าตกใจจากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างคนรุ่นใหม่อายุ 20-40 ปี ในปี 2563 จำนวน 1,043 คน พบว่า 30% ไม่คิดวางแผนหรือไม่ลงมือทำในการออมเงิน

เมื่อรวมคนที่ไม่ทำเลยพบว่า 84% ไม่มีเงินเพียงพอตอนเกษียณ จึงหามาตรการควรทำอย่างไรจากการศึกษามานาน ทั้งเรื่องรายได้ การเข้าถึงช่องทางการออม หรือความรู้ทางการเงินของกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐาน พบว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่มีระดับรายได้และความรู้เพียงพอสูงกว่าคนรุ่นเก่า แต่กลับมีอคติเชิงพฤติกรรมด้านจิตวิทยาก่อให้เกิดความเปราะบางทางการเงิน จนส่งผลต่อการออมเงิน

อคติเชิงพฤติกรรมของกลุ่มคนรุ่นใหม่มีอย่างน้อย 4 ประเภท ทำให้ไม่พร้อมทางการเงินยามเกษียณ 1.อคติโลกแคบ มองแบบสั้นๆ แคบๆ มองไม่ถึงว่าภาพอนาคตจะเป็นอย่างไร 2.อคติชอบปัจจุบัน อาจรู้อยู่แล้วต้องใช้เงินในยามเกษียณ แต่มีสิ่งล่อตาล่อใจใช้จ่ายเกินตัว เพื่อความสุขในวันนี้ 3.อคติละเลยอัตราทบต้น ออมน้อย กู้เยอะละเลยดอกเบี้ยทบต้นที่สามารถทำให้ผลประโยชน์ในตอนท้ายสูง หากออมต่อเนื่องนานๆ และ 4.อคติยึดติดสภาวะปัจจุบัน ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงยึดติดกับเงินออมในธนาคาร ไม่ลงทุนในสิ่งใหม่ที่ไม่คุ้นเคยแม้จะได้ผลตอบแทนมากกว่า

มาตรการกระตุ้นการออม ให้ถูกจุดกับพฤติกรรมคน

จากการทบทวนงานวิจัยในอดีตหลายชิ้นในช่วง 2 ปีพบว่ามีมาตรการคาดว่าจะส่งเสริมการออมโดยใช้ประโยชน์จากอคติเชิงพฤติกรรม 1.สะกิดด้วยข้อมูล ให้เห็นความสำคัญของการออมอย่างต่อเนื่องยาวนานทำให้เงินเติบโตขึ้นมหาศาลจากอัตราดอกเบี้ยทบต้น 2.การตั้งอัตราการออมเริ่มต้น เสนอว่าควรจะออมกี่เปอร์เซ็นต์ต่อรายได้ต่อเดือน ให้เพียงพอต่อการใช้จ่ายในยามเกษียณ ไม่ต้องคิดวิเคราะห์ 3.การออมแบบกึ่งบังคับ ให้ออมเงินในอัตราที่กำหนดต่อเดือน หรือ 20% แต่สามารถเลือกได้อาจไม่ออมในอัตรานั้นก็ได้ เป็นการแก้ไขอคติโลกแคบสำหรับคนที่คิดมาก เพื่อให้เกิดการออมโดยไม่รู้ตัว

และ 4.การออมผ่านการใช้จ่ายหรือการหักเงินมาออมทุกครั้งที่มีการใช้จ่าย เพราะคนเข้าใจว่ามีรายได้ก็ต้องใช้จ่ายในการซื้อของ เช่น ถ้าซื้อสินค้าราคา 95 บาท แต่หักเงินเป็น 100 บาท โดยเศษเงินส่วนเกิน 5 บาทจะโอนเข้าบัญชีออม โดยธนาคารบางแห่งในไทยเริ่มใช้มาตรการลักษณะนี้แล้วและพบว่าได้ผลพอควรโดยเฉพาะในกลุ่มคนอายุไม่มาก เมื่อใช้จ่ายทุกวันก็มีเงินออมทุกคนอย่างสุภาษิตที่ว่า "มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท”

...

ที่ผ่านมามีการทดสอบกับกลุ่มตัวอย่างในวัยทำงานด้วยการเล่นเกมจัดสรรเงินบนคอมพิวเตอร์ ว่ามีรายได้ต่อเดือนจะจัดสรรการใช้จ่ายกี่บาท ภายใต้มาตรการเหล่านี้ และเปรียบเทียบกับกลุ่มตัวอย่างที่ไม่ใช้มาตรการ ซึ่งผลปรากฏว่ามี 2 มาตรการในการตั้งอัตราการออมเริ่มต้น และการออมกึ่งบังคับ ได้ผลดีโดยเฉพาะกับกลุ่มที่ขาดวินัยทางการเงินมากๆ หากไม่กระตุ้นไม่บังคับจะปล่อยผ่าน จนสุดท้ายทำให้รู้ว่าทำไมเก็บออมได้ ซึ่งในไทยมีอยู่บ้างในบริษัทเอกชน

แต่กลุ่มแรงงานนอกระบบ 20 ล้านคน มีเพียง 50% เข้าถึงประกันสังคมมาตรา 39 และมาตรา 40 จากอคติเชิงพฤติกรรม หากนำมาตรการเหล่านี้มาใช้น่าจะทำให้แรงงานนอกระบบสามารถออมเงินได้มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มอาชีพอิสระมีรายได้ไม่แน่นอน ในการใช้มาตรการออมกึ่งบังคับ ขณะที่การสะกิดด้วยข้อมูล ได้ผลสำหรับผู้อยู่ในระบบประกันสังคม มีรายได้ประจำและมีความพร้อมในการออม อาจต้องใช้ข้อความสะกิดที่หลากหลาย อธิบายประโยชน์ของการออมเรื่องการได้รับดอกเบี้ย

ส่วนการออมผ่านการใช้จ่าย ได้ผลดีกับผู้มีรายได้น้อย ออมน้อย และคนรุ่นใหม่ที่ใช้จ่ายเป็นประจำ เนื่องจากการออมผ่านการปัดเศษในขณะใช้จ่าย เจ้าตัวไม่ต้องชั่งใจมากนักว่าจะออมหรือไม่ แต่ต้องระมัดระวังไม่ให้เป็น “ดาบสองคม” ไปเพิ่มความชะล่าใจในการใช้จ่ายอย่างเต็มที่ เพราะรู้สึกว่ามีการออมทุกการใช้จ่ายอยู่แล้ว และการออมลักษณะนี้อาจจะไม่มากพอสำหรับการเกษียณ แต่ช่วยเปิดประตูให้คนรุ่นใหม่เริ่มต้นการออมเท่านั้น

...

"แก่ดีมีออม" ให้มีคุณภาพและศักดิ์ศรี ไม่ต้องพึ่งพารัฐ

มาตรการส่งเสริมการออมจะต้องมีการออกแบบระบบบัญชี เพื่อการเกษียณส่วนบุคคล ให้รู้ว่าออมเงินแล้วไปไหนสำหรับแรงงานในระบบ และควรมีลักษณะพิเศษไม่สามารถถอนได้ง่ายเท่ากับบัญชีปกติ อาจรวมถึงข้อมูลสินทรัพย์ เช่น บ้าน ที่ดิน หลักทรัพย์ น่าจะได้ผลในการยกระดับสำนึกต่อการออม และน่าจะกระตุ้นให้ผู้ออมอยากเพิ่มการออมของตนเองให้เพียงพอสำหรับวัยเกษียณ

ข้อเสนอเหล่านี้คาดหวังจะได้รับการพิจารณาจากภาครัฐในการกำหนดนโยบายและมาตรการส่งเสริมการออม และภาคเอกชนต้องปรับใช้กับผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เพื่อกระตุ้นจูงใจในการออม เป็นจุดเริ่มต้นในการเตรียมการไปสู่ “แก่ดีมีออม” ของประชากรไทย เพื่อยกระดับชีวิตท่ามกลางสังคมอายุยืนให้มีคุณภาพและศักดิ์ศรี ไม่ต้องพึ่งพารัฐ เพราะทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ต้องมองให้ยาวถึงวันตาย และทุกหน่วยงานจะต้องทำอย่างไรให้คนหลุดพ้นจากการก่อหนี้และมีรายได้เสริม เพื่อจะได้มีเงินออม

“ในวัยเกษียณต้องมีเงินอย่างน้อย 7.5 ล้านบาท แต่บางคนมองว่ามี 1-2 ล้านบาทก็พอ เพราะมีทรัพย์สิน บ้านที่ดินแล้ว แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ หรือคนออมทองไม่ใช่ไม่ดี ควรไปลงทุนอย่างอื่นด้วย อย่ากลัวจากอคติ และแรงงานนอกระบบหากพัฒนาด้านทักษะ ก็สามารถเป็นแรงงานในระบบได้ อย่าหวังจากการซื้อหวย ก็เป็นการใช้จ่ายอยู่ดี เปอร์เซ็นต์ถูกรางวัลก็น้อยมาก เป็นอีกสาเหตุทำให้ไม่ออมเงิน อย่ารอให้เกิดปัญหา จะต้องแก้สมการให้ได้ เพื่อให้คนรุ่นใหม่ปรับทัศนคติในการออมเงิน จะได้ไม่ลำบากในวัยเกษียณ”.