ประชากรผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปในประเทศไทย เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และปี 2566 มีประชากรอายุเกิน 60 ปี มากกว่า 20% ของประชากรทั้งหมด ด้วยสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป คนโสดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และมีลูกน้อยลง ทำให้ผู้สูงอายุในอนาคตมีแนวโน้มอยู่ตามลำพัง จะต้องพึ่งพาตนเองมากขึ้น

หากเงินออมไม่เพียงพอ หรือไม่มีเงินออม และยิ่งมีหนี้สินต้องชำระ จะเป็นปัญหาใหญ่ในเรื่องรายได้ไม่เพียงพอยังชีพในวัยสูงอายุ ไม่รวมถึงค่ารักษายามเจ็บป่วย ทำให้ต้องทำงานจนกว่าสภาพร่างกายจะไม่ไหว เพราะเงินช่วยเหลือจากสวัสดิการภาครัฐน่าจะไม่เพียงพอ

ผลการศึกษาของสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า กลุ่มแรงงานสูงอายุ 60 ปีขึ้นไป เกือบ 90% เป็นกลุ่มแรงงานนอกระบบ เป็นกลุ่มเปราะบางจะต้องมีนโยบายและมาตรการในการคุ้มครองการทำงานของแรงงานสูงอายุที่ส่วนใหญ่เป็นแรงงานนอกระบบ และการสำรวจปี 2564 จากกลุ่มตัวอย่างแรงงานสูงอายุ 60-64 ปี ในพื้นที่กรุงเทพฯ จำนวน 418 คน มีประมาณ 1 ใน 5 เป็นแรงงานนอกระบบ เคยมีสถานภาพเป็นแรงงานในระบบมาก่อน

ส่วนใหญ่เปลี่ยนสภาพการทำงานตั้งแต่ช่วงอายุ 50-51 ปี โดยสัดส่วนมากที่สุดอยู่ในช่วงอายุ 60-61 ปี ได้ชี้ให้เห็นว่าโอกาสการทำงานแบบมีนายจ้าง หรือได้รับการจ้างงานในสถานประกอบการของแรงงานสูงอายุ มีแนวโน้มลดลงตามอายุที่เพิ่มสูงขึ้น

...

แรงงานสูงอายุส่วนหนึ่งจำเป็นต้องปรับตัวออกมาทำงานส่วนตัว โดยเฉพาะการขายของ หรือจำหน่ายสินค้า เช่น ขายอาหาร ขายของชำ ค้าขายทั่วไป ขายของเก่า คิดเป็นสัดส่วน 34.2% รองลงมาทำงานรับจ้างทั่วไปที่เพิ่มสูงขึ้น เช่น รับจ้างเลี้ยงเด็ก ตัดเย็บเสื้อผ้า ขับขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ขับแท็กซี่ ตัดผม ซักรีด ดูแลเลี้ยงเด็ก หรือดูแลผู้ป่วย คิดเป็นสัดส่วน 29.4%

ส่วนหนึ่งทำงานเป็นลูกจ้าง เช่น แม่บ้านทำความสะอาด ก่อสร้าง ลูกจ้างในโรงงาน หรือโรงแรม คิดเป็น 22% ส่วนงานฝีมือ งานเครื่องจักร และการประกอบ คิดเป็นสัดส่วน 5% ขณะที่งานบริหารจัดการธุรกิจ ค้าขายกิจการของครอบครัว หรือธุรกิจส่วนตัว คิดเป็นสัดส่วน 3.6% งานระดับผู้จัดการ ผู้ประกอบวิชาชีพด้านต่างๆ คิดเป็น 2.6% งานด้านการเกษตร 1.7% และอาสาสมัครภาครัฐ 1.4% ซึ่งแรงงานผู้สูงอายุเกือบทั้งหมดอยู่ในภาคนอกระบบ และส่วนใหญ่ทำงานในพื้นที่บริเวณที่อยู่อาศัยของตัวเอง

ผู้สูงอายุแรงงานนอกระบบ ไม่มีหลักประกันคุ้มครอง

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกำลังเป็นอีกปัญหาใหญ่ในสังคมไทยที่จะต้องเตรียมรับมือโดยเร็ว เพื่อป้องกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และเป็นสิ่งที่ “รศ.ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์” ‪ผู้อํานวยการวิจัย ด้านการพัฒนาแรงงาน ฝ่ายการวิจัยทรัพยากรมนุษย์และพัฒนาสังคม สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) แสดงความกังวล เพราะในอนาคต 1 ใน 3 ของคนไทยจะเป็นผู้สูงอายุ และมีจำนวนไม่น้อยตกอยู่ในภาวะยากลำบาก ต้องทำงานหารายได้เป็นแรงงานนอกระบบ ไม่มีหลักประกันทางสังคม จากการทำงานเช่นเดียวกับแรงงานในระบบ

“ผู้สูงอายุบ้านเราไม่มีรายได้เอาไว้ใช้สอย เพราะเป็นแรงงานนอกระบบมายาวนานมาก ทำงานแบบไม่มีวันเกษียณ ประมาณ 20 ล้านคน ส่วนใหญ่ก็เป็นชาวไร่ชาวนา และมีหนี้สินอีกต่างหาก หัวละประมาณ 2-3 แสนบาท เยอะมากๆ ต้องทำงานไปใช้หนี้ไป”

การแก้ปัญหาต้องปรับเรื่องสวัสดิการสังคม ทำคล้ายๆ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือบัตรคนจน ส่วนใหญ่คนจนก็เป็นผู้สูงอายุมีประมาณ 5-6 ล้านคน ซึ่งการช่วยเหลือไม่ได้ง่ายๆ หากผู้สูงอายุพอมีเงินออมคงพอไปได้ ขณะที่โครงการคนละครึ่งต้องใช้เงินจำนวนมาก

เพราะฉะนั้นควรตั้งกองทุนประกันสังคมเพื่อผู้สูงอายุ ในรูปแบบสิทธิประโยชน์ประกันสังคมมาตรา 40 โดยรัฐอุดหนุนจ่ายเงินสมทบให้เฉพาะคนที่จ่ายไม่ได้ ตั้งแต่เป็นวัยทำงาน เพื่อจะได้มีเงินใช้จ่ายในวัยเกษียณ รวมไปถึงระบบสวัสดิการสังคมทุกระบบในบ้านเราล้าหลัง ต้องรื้อใหม่ทั้งหมด และต้องทำคู่ขนานกันไป

คนแก่ในเมือง ทำงานแลกค่าจ้างน้อยนิด ดูแลลูกหลาน

ปัจจุบันผู้สูงอายุซึ่งเป็นคนเมือง ต้องไปรับจ้างทำงานด้านบริการ เพราะก่อนหน้านั้นช่วงโควิดระบาดก็จนไม่มีรายได้กันไปแล้ว บางคนเมื่อขายของไม่ได้ก็ต้องไปกู้เงินนอกระบบหาเงินมาลงทุน กลายเป็นว่าผู้สูงอายุในเมืองจนดักดานจริง แตกต่างกับผู้สูงอายุในภาคเกษตร เมื่อไม่มีรายได้ก็สามารถเก็บผักมาทำเป็นอาหารได้ โดยช่วงโควิดคนลำบากเป็นจำนวนมาก

...

เมื่อรัฐหยุดช่วยเหลือก็ยิ่งลำบากหนักกันไปใหญ่ ต้องพึ่งเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 600-700-800 บาทเท่านั้น ถือว่าต่ำกว่าเส้นยากจน มันน้อยมากเหมือนจะให้กินข้าวเปล่ากับน้ำปลา และบ้านคนชราก็ไม่มีให้อยู่ หรือการให้นโยบายว่าแต่ละครอบครัวจะต้องใส่ใจดูแลผู้สูงอายุ แต่เมื่อครอบครัวยากจนไม่สามารถทำได้ สุดท้ายผู้สูงอายุต้องหารายได้ไปเลี้ยงลูกหลาน จากปัญหาการหย่าร้าง และการพัฒนาความเจริญในแต่ละพื้นที่ของภาครัฐก็กระจุกตัว ทำให้ที่ทำงานกับบ้านห่างไกลกันต้องมาทำงานกรุงเทพฯ ปล่อยให้ผู้สูงอายุอยู่เพียงลำพัง

“ผู้สูงอายุในเมืองลำบากมากกว่า โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในชุมชนต่างๆ 2 พันกว่าแห่งในกรุงเทพฯ ยังไม่รวมครอบครัวชายขอบอีกจำนวนมาก ส่วนใหญ่มีคุณภาพชีวิตที่แย่มาก ก็ต้องไปรับจ้างรายวันหาเงินเลี้ยงลูกหลาน และแรงงานนอกระบบไม่มีเกณฑ์อะไรในการคุ้มครองดูแล ได้ค่าจ้าง 100 หรือ 200 บาท ก็เอา เพราะกฎหมายบังคับไม่ได้ แค่ขอให้มีกินในแต่ละวันก็พอ แต่ค่าครองชีพก็สูงขึ้นมาก ทำให้ชีวิตอยู่อย่างลำบาก”

โรงเตี๊ยมชุมชน 1 อบต. 1 โรงทาน ดูแลผู้สูงอายุ

...

ขณะนี้ผู้สูงอายุมีอายุยืนกันมากขึ้น ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง และกลุ่มเจน y ช่วงต้นๆ เริ่มมีอายุมากขึ้น หรือประชากร 3 คนจะเป็นผู้สูงอายุ 1 คน หากเป็นชนชั้นกลางก็ยังพออยู่ได้ ไม่เป็นภาระของรัฐบาล ซึ่งการเตรียมพร้อมรับมือควรมีงานให้ทำสร้างรายได้ในละแวกที่อยู่อาศัย จะต้องดูแลแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำให้มากขึ้น เพราะหากรัฐมีภาระมากขึ้น อาจล่มจมเหมือนประเทศเวเนซุเอลา

ข้อเสนอในการแก้ปัญหาจะต้องดึงผู้สูงอายุมาร่วมเพิ่มผลผลิตในภาคบริการ โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นอุปสงค์เทียม ในการสร้างซอฟต์พาวเวอร์ให้ชัดเจนกระจายไปตามแหล่งท่องเที่ยวให้มากขึ้น และให้คนท่องเที่ยวเมืองรองให้มากขึ้น เพื่อให้เงินกระจายไปในชนบท หรือทำเป็นแหล่งท่องเที่ยวเกษตร แม้ได้มูลค่าไม่สูง แต่ให้ความปลอดภัย ทำให้ผู้สูงอายุในพื้นที่มีรายได้ อย่างชุมชนคุ้งบางกระเจ้า อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ มีการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวจนประสบความสำเร็จ

“ถ้ารัฐบาลมีวิชั่น ก็สามารถทำได้ ต้องทำให้ครอบครัวเข้มแข็งมีรายได้ ผ่านวิสาหกิจชุมชน กลุ่มแม่บ้าน มีการรวมตัวทำผลิตภัณฑ์สร้างรายได้ และมีสถาบันการศึกษาในพื้นที่คอยให้คำปรึกษา ช่วยเหลือด้านการตลาดออนไลน์ สร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์ ทำให้คนในชุมชนมีฐานะที่ดีขึ้น จะได้ช่วยเหลือคนที่ยากลำบากได้ เพราะน้ำใจคนไทยยังมีอยู่ในการช่วยเหลือคนแก่ที่อยู่ตามลำพัง ให้มาช่วยงาน มีเงินให้บ้าง มีการทำโรงเตี๊ยมในชุมชน หรือ 1 อบต. 1 โรงทาน มีที่อยู่ มีอาหารให้กิน และคนที่อยู่ในกรุงเทพฯ ช่วงหนึ่งก็ต้องกลับบ้าน”

...

ส่วนรายได้ต่อเดือนของผู้สูงอายุที่จะพออยู่ได้ ประมาณ 3 พันกว่าบาท และมีสวัสดิการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติคอยดูแลยามเจ็บป่วย หากอาศัยรายได้จากเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ไม่พออย่างแน่นอน โดยสิ่งสำคัญอยู่ที่การช่วยเหลือของแต่ละหมู่บ้าน แต่ละชุมชน ตามหลักการ “ไม่ให้ใครอดอย่างเด็ดขาด” และค่อยๆ สร้างรายได้ให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น ให้ผู้สูงอายุมีเงินเหลือบ้าง ในการไปทำบุญ หากช่วยตัวเองได้ ก็คงไม่อยากกินของฟรีไปตลอดชีวิต.