เศรษฐกิจไทย ปี 2566 การขยายตัวอาจเป็นไปไม่ได้ตามเป้า ส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยการส่งออก ขณะที่หนี้ครัวเรือนไทยเพิ่มสูงขึ้นจนน่าห่วง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เก็บเงินสดไว้ให้อุ่นใจ ไม่ควรลงทุนเพิ่มความเสี่ยงระยะยาว เพราะจะเกิดปัญหาเศรษฐกิจได้ทุกเวลา

สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทยในปี 2566 ขอให้ทุกคนพึงระวังเตรียมพร้อมรับมือ ควรลงทุนอย่างมีสติ อย่าเชื่อคำโฆษณา เป็นอีกหนึ่งคำเตือนของ "รศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ" คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เพราะว่าสถานการณ์เศรษฐกิจปี 2566 จะมีผลกระทบจากปริมาณผู้บริโภคในประเทศลดลง ประกอบกับพลังการบริโภคในภาคเกษตรกรรมก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น ถ้าหวังพึ่งการบริโภคในประเทศย่อมเป็นเรื่องลำบาก การแก้ปัญหาของรัฐบาล ที่ผ่านมาด้วยการกู้เงินจากต่างประเทศ ทำให้มีหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น

“ถ้าคาดการณ์สถานการณ์เศรษฐกิจโลกปี 2566 ค่อนข้างหดตัว โดยเฉพาะคู่ค้าสำคัญของไทยอย่างอเมริกาและจีน ส่งผลให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ไทยวางเป้าหมาย ว่าจะขยายตัวให้ได้ 3.8% ในปี 2566 เป็นเรื่องยาก ประกอบกับความขัดแย้งในหลายประเทศทั่วโลก ทำให้เศรษฐกิจโลกภาพรวมเติบโตลำบาก”

เศรษฐกิจไทยพยายามยึดโยงกับการส่งออกจนมากเกินไป ทำให้เมื่อเกิดผลกระทบระดับโลกจะส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย ขณะเดียวกันเม็ดเงินจากการส่งออกของไทยปัจจุบันค่อนข้างกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มทุนต่างชาติ ไม่ได้กระจายตัวมายังประชาชนระดับล่างมากนัก

...

สำหรับประชาชนทั่วไป ถ้าดูจากหนี้สินครัวเรือนของไทย ขณะนี้พุ่งขึ้นสูงกว่า 90% จึงอยากเตือนให้เก็บออมเงินไว้ ไม่ควรลงทุนกับสิ่งที่มีความเสี่ยง เนื่องจากปี 2566 มีปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกิดจากสงครามในต่างประเทศ และส่งผลให้ฟองสบู่เศรษฐกิจแตกได้ทุกเมื่อ

“ขณะนี้มังกรผงาดฟ้าอินทรีถลาลงดิน ความตึงเครียดจากสถานการณ์โลกมีผลโดยตรงต่อไทย และไม่แน่ว่าถ้าเกิดสงครามขึ้นในต่างประเทศรุนแรง จะส่งผลหนักต่อเศรษฐกิจไทย ดังนั้นคนที่มีเงินออมควรเก็บไว้ อย่าไปหวังกับการลงทุนต่างๆ มากจนเกินไป”

ส่วนคนที่มีเงินเดือนหรือมีรายได้ระดับปานกลาง การลงทุนเพื่อเก็งกำไรในปี 2566 ควรประเมินสถานการณ์ระยะสั้น ไม่ควรไปลงทุนระยะยาว และไม่ควรลงทุนจนหมดตัว เพราะสถานการณ์ค่อนข้างน่าเป็นห่วง โดยคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ ประชาชนระดับล่าง ขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ก็เริ่มมองหาประเทศที่เป็นฐานผลิตใหม่ หากเกิดเหตุฉุกเฉิน

ประชาชนทั่วไปเงินเดือนที่ได้มาควรใช้ตามความจำเป็น เช่น ผ่อนบ้านหรือรถตามสัญญา ไม่ควรนำไปลงทุน จนทำให้ชีวิตเกิดความเสี่ยง แต่ควรประเมินการใช้จ่ายรายเดือนตามความจำเป็น

“ปีที่ผ่านมาอย่าลืมว่าเศรษฐกิจไทยเดินได้จากหนี้ที่รัฐบาลกู้มาแจก แต่สุดท้ายเงินเหล่านั้นก็หมุนไปอยู่ในมือนักธุรกิจขนาดใหญ่หมด ส่งผลให้ผู้ประกอบการรายย่อยประสบปัญหา ดังนั้นประชาชนทั่วไป หากจะลงทุนควรมีสติ ไม่ควรฟังคำโฆษณา จนทุ่มเงินทั้งหมดที่มีในการลงทุน เพราะจะส่งผลกระทบต่อการเงินของตัวเองในระยะยาวได้”.