"ฟุตบอลโลก 2022" ที่ประเทศกาตาร์ “รูดม่านลง” หลังนัดชิงชนะเลิศที่ดีที่สุดนัดหนึ่งในประวัติศาสตร์โลกลูกหนัง ซึ่งผสมปนเปไปด้วยความดรามาลุ้นระทึกราวกับกำลังนั่งรถไฟเหาะ ได้บทสรุปเป็น “ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของ ลิโอเนล เมสซี และทีมชาติอาร์เจนตินา” ในบั้นปลาย ทำให้นับจากนี้ไป...เกียรติประวัติส่วนตัวของหนึ่งในนักเตะที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่โลกลูกหนังเคยมีมาจะถูกเติมเต็มได้เสียทีว่า “สมบูรณ์แบบ” และ “น่าจดจำ”

ว่าแต่...นอกจากการก้าวขึ้นสู่บัลลังก์อย่างเกริกเกียรติของ “ลิโอเนล เมสซี” แล้ว บทสรุปในช่วง 1 เดือนที่ผ่านพ้นไปในมหกรรมกีฬาฟุตบอลแห่งมวลมนุษย์ชาติมีเหตุการณ์และสถิติที่ควรค่าและบันทึกอยู่ในความทรงจำ ก่อนที่ “เรา” จะต้องรออีกถึง 4 ปี กว่าที่จะได้พบกันใหม่ใน ฟุตบอลโลก 2026 ที่ สหรัฐฯ แคนาดา และ เม็กซิโก จะร่วมกันเป็นเจ้าภาพกันบ้าง? วันนี้ “เรา” จะค่อยๆพา “คุณ” ไปไล่เรียงกันทีละประเด็น

...

เกมรุก :

นักเตะที่ยอดเยี่ยมที่สุดในฟุตบอลโลก 2022 : ลิโอเนล เมสซี

“ลิโอเนล เมสซี” ทีมชาติอาร์เจนตินา ลงเล่น 7 นัด เป็นตัวจริง 7 นัด รวม 690 นาที ได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยม (Golden Ball Award) ประจำทัวร์นาเมนต์นี้ไปครอบครอง ด้วยผลงาน 7 ประตู 3 Assists

นอกจากนี้ “ผู้มาจากต่างดาวรายนี้” ยังถือเป็นนักเตะที่สามารถสร้างสรรค์โอกาสในการทำประตู (จ่ายบอลจังหวะสำคัญ และ Assists รวมกัน) ได้มากที่สุดด้วยจำนวนถึง 17 ครั้งด้วย

ดาวซัลโวสูงสุดฟุตบอลโลก 2022 : คีเลียน เอ็มบัปเป

“คีเลียน เอ็มบัปเป” นักเตะทีมชาติฝรั่งเศส และ (ว่าที่) ราชันย์ลูกหนังในยุคต่อไป กระหน่ำประตูไปรวมกันทั้งสิ้น 8 ประตู จากความพยายามในการยิงประตูรวมทั้งหมด 31 ครั้ง (25.81%)

หากแต่สิ่งที่น่าจดจำมากที่สุดสำหรับ “กองหน้ามหาประลัยรายนี้” บางทีอาจไม่ใช่ตำแหน่งดาวซัลโว แต่มันอาจเป็นการระเบิดฟอร์ม “กดแฮตทริก” ในนัดชิงชนะเลิศเสียมากกว่า เพราะมันเป็น “แฮตทริกในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก” ที่ “เหล่ามักเกิ้ล” รอคอยกันมาเนิ่นนานถึง 56 ปี หลัง “เซอร์เจฟฟ์ เฮิร์สต์” อดีตยอดกองหน้าทีมชาติอังกฤษ เคยทำได้ในนัดชิงชนะเลิศ ตั้งแต่ปี 1966!

เลี้ยงบอลผ่านคู่ต่อสู้มากที่สุดในฟุตบอลโลก 2022 : คีเลียน เอ็มบัปเป

นอกจากจบสกอร์ได้อย่างรุนแรงและเฉียบคมดุจใบมีดโกนแล้ว “คีเลียน เอ็มบัปเป” จากทัพเลอ เบลอส์ ชุดนี้ ยังใช้ความเร็วเร่งของตัวเองซึ่งถูกสื่อต่างประเทศคำนวณค่าเฉลี่ยเอาไว้ว่าอยู่ที่ 35.3 กิโลเมตรต่อชั่วโมง! กระชากบอลผ่านคู่ต่อสู้ได้สำเร็จมากถึง 27 ครั้ง! ซึ่งมากที่สุดในฟุตบอลโลกครั้งนี้

...

เกมรับ :

เคลียร์บอลจากประตูมากที่สุด : โรแม็ง ซาอิสส์

“โรแม็ง ซาอิสส์” กัปตันทีมและหัวใจหลักในเกมรับ วัย 32 ปี ของทีมชาติโมร็อกโก คือ ผู้ที่ทำสถิติสูงสุด โดยทำได้ถึง 57 ครั้ง จากการลงเล่น 6 นัด รวม 466 นาที (เฉลี่ยลงเล่นนัดละ 78 นาที)

แย่งบอลได้มากที่สุด : ลูกา โมดริช

...

อย่าได้นึกว่า “ศิลปินลูกหนัง” อย่าง “ลูกา โมดริช” ของทีมตราหมากรุกโครเอเชีย จะทำเพียงการร่ายเวทมนตร์หลอกหลอนคู่ต่อสู้ได้เพียงอย่างเดียวเด็ดขาด เพราะอีกหนึ่งสุดยอดนักเตะของโลกวัย 37 ปี ผู้นี้ ยังสามารถทำสถิติการแย่งบอลจากคู่ต่อสู้ได้สำเร็จถึง 9 ครั้ง ในฟุตบอลโลกครั้งนี้ด้วย เรียกว่า ทั้งรับและรุก มิดฟิลด์สัญชาติโครแอตรายนี้ สามารถทำได้ทุกอย่างชนิดไม่มีขาดตกบกพร่อง!

วิ่งรวมระยะทางมากที่สุดในฟุตบอลโลก 2022 : โอเรเลียง ชูอาเมนี

“โอเรเลียง ชูอาเมนี” ยอดมิดฟิลด์ถังออกซิเจนและทายาทผู้สืบทอด "เอ็นโกโล ก็องเต" ของฝรั่งเศส ทำสถิตลงเล่น 7 นัด รวม 621 นาที (หรือเฉลี่ยลงเล่นนัดละ 89 นาที) วิ่งรวมระยะทางไปไม่มากไม่น้อยแค่ 79 กิโลเมตรเท่านั้น! แต่เดี๋ยวก่อน “คุณ” อย่าเพิ่งหยุดทึ่งเพียงแค่นั้น เพราะในจำนวนระยะทาง 79 กิโลเมตรที่ว่านี้ ยังเป็นการ Sprints รวมกันถึง 328 ครั้งอีกด้วย! (ในขณะที่คู่แข่งจอมทุ่มเทจากฝั่งอาร์เจนตินา คือ “โรดริโก เดอ ปอล” ทำสถิติวิ่งรวมระยะทาง 73.34 กิโลเมตร และเป็นการ Sprints 402 ครั้ง จากการลงเล่น 7 นัด รวม 599 นาที หรือ เฉลี่ยลงเล่นนัดละ 86 นาที)

...

ทีมที่ยิงประตูมากที่สุดในฟุตบอลโลก 2022 : ทีมชาติฝรั่งเศส

ทีมชาติฝรั่งเศส ยิงประตูรวมกันทั้งสิ้น 16 ประตู จากทั้งหมด 7 นัด โดยมาจาก คีเลียน เอ็มบัปเป 8 ประตู , โอเรเลียง ชูอาเมนี 1 ประตู , โอลิวิเยร์ ชิรูด์ 4 ประตู , เตโอ เอร์นานเดซ 1 ประตู , อาเดรียง ราบิโอต์ 1 ประตู , ร็องดาล โคโล มูอานี 1 ประตู

ทีมที่เสียประตูมากที่สุดในฟุตบอลโลก 2022 : ทีมชาติคอสตาริกา

"ทีมชาติคอสตาริกา" เสียประตูไปรวมกันมากถึง 11 ประตู จากการลงเล่นเพียง 3 นัด ชนะ 1 นัด แพ้ 2 นัด โดยนัดที่เสียประตูมากที่สุด คือ นัดที่ถูกทีมชาติสเปนโชว์ “แบบฝึกหัด Tiki Taka 101” ไปเบาะๆ 7 ประตูต่อ 0

ทีมที่คลีนชีทมากที่สุดในฟุตบอลโลก 2022 : ทีมชาติโมร็อกโก

"ทีมชาติโมร็อกโก" ม้ามืดประจำฟุตบอลโลกครั้งนี้ ทำสถิติ คลีนชีทไปรวมกันถึง 4 นัด จากการผนึกกำลังเล่นเกมรับสุดเหนียวแน่น จากแม้แต่ทีมที่เกมรุกสุดแพรวพราวอย่าง ทีมชาติสเปน ยังทำประตูจากพวกเขาไม่ได้ในช่วงเวลาปกติ และช่วงต่อเวลา ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย

ส่วนอีก 3 นัดที่เก็บคลีนชีทได้ คือ นัดที่พลิกล็อกชนะทีมชาติโปรตุเกสได้ 1 ประตูต่อ 0 ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย และ ชนะทีมชาติเบลเยียม 2 ประตูต่อ 0 , และ เสมอ ทีมชาติโครเอเชีย 0 ประตูต่อ 0 ในการแข่งขันรอบแรก

ส่วนเหตุการณ์ที่น่าจดจำในฟุตบอลโลก 2022 มีอะไรบ้าง “เรา” ไปร่วมย้อนเวลารำลึกพร้อมกันๆ นับจากบรรทัดนี้เป็นต้นไป

พลิกล็อกที่สุด : ซาอุดิอาระเบีย ชนะ แชมป์โลก

มาถึงวันนี้ “คุณ” ยังเชื่ออยู่หรือไม่ว่า “ทีมชาติซาอุดิอาระเบีย” เคยพิชิตแชมป์โลก “ทีมชาติอาร์เจนตินา” ได้ ในการแข่งขันนัดเปิดสนามของกลุ่ม C ด้วยสกอร์ 2 ประตูต่อ 1 แถมมันยังเป็นชัยชนะหลังจากถูก “ลิโอเนล เมสซี” ยิงนำไปก่อนเสียด้วย!

ม้ามืดที่สุด : Atlas Lion

การแข่งขันฟุตบอลโลกในทุกๆครั้ง จะมีการถือกำเนิดของ “ทีมม้ามืด” ที่สร้างเซอร์ไพรซ์ได้อยู่เสมอๆ เช่น ทีมชาติกานา ในปี 2010 ที่ทะลุไปถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย หรือ ทีมชาติคอสตาริกา ในปี 2014 ที่ถึงขั้นผงาดเป็นแชมป์รอบแบ่งกลุ่มทั้งๆที่มีทั้ง อุรุกวัย อิตาลี และ อังกฤษ ร่วมสาย ก่อนจะหลุดเข้าไปถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ก่อนดวลจุดโทษแพ้ทีมชาติเนเธอร์แลนด์ไปอย่างน่าเสียดาย

และสำหรับครั้งนี้ก็เช่นกัน “ทีมชาติโมร็อกโก” คือ “ม้ามืด” ขนานแท้ เพราะก่อนฟุตบอลโลกครั้งนี้จะเริ่มต้น พวกเขาอยู่ในอันดับ 22 ของ FIFA RANKING และการที่ต้องอยู่ร่วมสาย กับ เบลเยียม และ โครเอเชีย ทำให้ไม่ใครคาดคิดมาก่อนแน่ๆ ว่า ทีม Atlas Lion จะใช้ความเหนียวแน่นในเกมรับพาทีมคว้าอันดับที่ 4 ในฟุตบอลโลกครั้งนี้ได้สำเร็จ

เศร้าที่สุด : หยาดน้ำตาของ “เนย์มาร์” และ “คริสเตียโน โรนัลโด” 

น้ำตาที่ไหลรินขณะนั่งหมดอาลัยกลางสนามของ “เนย์มาร์” ในนัดที่ดวลจุดโทษแพ้ “ทีมชาติโครเอเชีย” ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ทำให้เรารับรู้ได้เลยว่า ฟุตบอลโลกครั้งนี้มีความหมายมากมายแค่ไหนกับ “เนย์มาร์” หลังตราบาปความพ่ายแพ้ให้กับ ทีมชาติเยอรมนี อย่างย่อยยับคาถิ่นมาราคานา ถึง 1 ประตูต่อ 7 ในฟุตบอลโลกปี 2014 ยังคงตามรังควานเขาอยู่ไม่รู้วาย อีกทั้งฟุตบอลโลกครั้งนี้ ทีมชาติบราซิล จัดว่าเป็นชุดที่แข็งแกร่งและมีโอกาสมากที่สุดอีกครั้งที่จะไปให้ถึงแชมป์โลกสมัยที่ 6 ได้

ขณะที่น้ำตาของ “คริสเตียโน โรนัลโด” ซึ่งพรั่งพรูออกมาหลังพยายามสะกดกลั้นมันเอาไว้อย่างเต็มที่ขณะเดินเข้าห้องพัก จากนัดที่พ่ายแพ้ให้กับ “ทีมชาติโมร็อกโก” ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย บ่งบอกได้ว่า “ฟุตบอลโลกสำหรับเขามันต้องจบลงแล้ว”

ครึกครื้นที่สุด : การเต้นรำของนักเตะบราซิล

มันอาจเป็นเพราะการโชว์ฟอร์มเหนือชั้นมากเกินไปในนัดที่ "ทีมชาติบราซิล" เอาชนะ "ทีมชาติเกาหลีใต้" ไปได้แบบสบายๆ 4 ประตูต่อ 1 ในรอบ 16 สุดท้าย ก็เป็นได้ เหล่านักเตะบราซิลหรือแม้แต่กระทั่ง “ติเต” ผู้จัดการทีม จึงออกมาเริงระบำโชว์ชาวโลกกันอย่างสบายใจ ก่อนที่ในเวลาต่อมา “การเริงระบำ” อย่างครึกครื้นนี้ จะถูกวิพากวิจารณ์ว่า “เป็นการไม่ให้เกียรติคู่แข่งขัน” ก็ตาม

ทดเวลาบาดเจ็บนานที่สุด : 1+13 และ 2 + 12 = 14 นาที

ในการแข่งขันรอบแรกของกลุ่ม B ซึ่ง "ชาติอังกฤษ" เอาชนะ "ทีมชาติอิหร่าน" ไปได้ 6 ประตูต่อ 2 นั้น มีการทดเวลาบาดเจ็บรวมกันนานถึง 14 นาที (ครึ่งแรก 1 นาที ครึ่งหลัง 14 นาที) ส่วนอีกหนึ่งนัดที่ทดเวลาบาดเจ็บไม่แพ้กัน คือ นัดที่ "ทีมชาติอาร์เจนตินา" เอาชนะจุดโทษ "ทีมชาติเนเธอร์แลนด์" ไปในรอบ 8 ทีมสุดท้าย โดยมีการทดเวลาบาดเจ็บในครึ่งแรก 2 นาที และ ครึ่งหลังอีก 12 นาที!

ลูกยิงที่ลึกล้ำที่สุด : ฟรีคิกสุดสมาร์ทของทีมชาติเนเธอร์แลนด์

กองหน้าร่างยักษ์ของขุนพลอัศวินสีส้ม “วูท เวกฮอร์สต์” ที่สูงถึง 197 เซนติเมตร เข้าแทรกตัวในกำแพงมนุษย์ของทีมชาติอาร์เจนตินา ก่อนรับลูกส่งจากลูกฟรีคิกหน้าปากประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บอันแสนยาวนานของครึ่งหลัง ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย (นาทีที่ 90 + 11) จนสามารถยิงประตูตีเสมอได้สำเร็จชนิดเหนือความคาดหมายทั้งปวง!

อย่างไรก็ดีแม้ในท้ายที่สุด "ทีมชาติเนเธอร์แลนด์" จะล้ม “ลิโอเนล เมสซี” และผองเพื่อนไม่สำเร็จในเกมที่สุดดุเดือดจนเกือบจะมีการยกพลตะลุมบอนกัน แต่ประตูนี้จะถูกจดจำไปอีกนานแสนนานในฐานะ “ประตูที่ทั้งกล้าเสี่ยงที่สุด และฉลาดลึกล้ำที่สุดลูกหนึ่งในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก”

สมหวังที่สุด : ถ้วยฟีฟ่าเวิร์ด คัพ ภายใต้อ้อมกอดของ ลิโอเนล เมสซี

ในช่วงปลายอายุขัยของการค้าแข้ง “มลทินเดียวในชีวิตนักฟุตบอล” ที่กั้นขวางไม่ให้ “มนุษย์ต่างดาวผู้นี้” ได้รับการเชิดชูในฐานะ “หนึ่งในสุดยอดตำนานนักเตะโลก” ในระนาบเดียวกับ “เปเล่” หรือ “ดีเอโก มาราโดนา” ก็คือ "การยังไม่เคยได้สัมผัสกับแชมป์ฟุตบอลโลก"

หนำซ้ำการเริ่มต้นก็ดูเหมือนจะซ้ำรอยเดิมๆอีกครั้ง หลังประเดิมพ่ายให้กับ "ทีมชาติซาอุดิอาระเบีย" ชนิดช็อกชาวโลก แต่แล้วเมื่อถูกคราวต้องงัดทุกสิ่งทุกอย่างออกมาเพื่อสานความฝันสุดท้ายให้สำเร็จ “เมสซี” ก็สามารถงัดฟอร์มระดับเทพเจ้าออกมาจนพาทีมคว้าแชมป์โลกได้สำเร็จในที่สุด! แม้ว่า “The Last Boss” ร่างมหึมาที่ขวางทางอยู่จะมีชื่อว่า “คีเลียน เอ็มบัปเป” ก็ตามเถอะ!

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน

กราฟฟิก Theerapong C.

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง