รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ความสำคัญเป็นอย่างสูงกับการจัดประชุม “ความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก” หรือเอเปก 2022 (APEC 2022 Thailand) โดยเฉพาะการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปกที่มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 18-19 พฤศจิกายน 2565 ที่ไม่เพียงเป็นผลงานในช่วงท้ายรัฐบาลกับชื่อเสียงประเทศเท่านั้น แต่ยังมีอดีตที่ 13 ปีผ่านไปยังลืมได้ยาก จากเหตุการณ์ล้มการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 14

การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปก 2022ในไทยนั้น มีการใช้งบประมาณตลอดทั้งปีจำนวน 3,283.10 ล้านบาท และมีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบให้วันที่ 16-18 พฤศจิกายน 2565 เป็นวันหยุดราชการกรณีพิเศษเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี และจังหวัดสมุทรปราการ เพื่อบรรเทาปัญหาด้านการจราจร อำนวยความสะดวกในการเดินทางของผู้เข้าร่วมประชุม รวมทั้งเพื่อให้การอารักขาและรักษาความปลอดภัยผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปกเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพสูงสุดอีกด้วย

ย้อนอดีตการเป็นเจ้าภาพเอเปกของไทย

ทำไมรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ถึงให้ความสำคัญการประชุมครั้งนี้ หนึ่งนั้นเป็นเพราะจังหวะและโอกาสที่เอื้ออำนวย เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 เริ่มคลี่คลายลง การประชุมระหว่างประเทศที่เคยใช้เพียงระบบการประชุมทางไกลก็กลับมาเจอกันตัวเป็นๆ ที่สำคัญยังเป็นผลงานในระดับอินเตอร์ครั้งสุดท้ายของรัฐบาลที่กำลังหมดวาระลงในช่วงปีหน้าด้วย

สำหรับฐานะของประเทศไทยนั้น เป็นหนึ่งเขตเศรษฐกิจที่ร่วมก่อตั้งเอเปกเมื่อปี 2532 โดยเคยเป็นเจ้าภาพการประชุมเกี่ยวกับเอเปกมาแล้วในปี 2535 และ 2546 ซึ่งการประชุมครั้งแรกเกิดเมื่อเดือนกันยายน 2535 ในรัฐบาล นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นการประชุมระดับรัฐมนตรีที่มี นายอาสา สารสิน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ และนายอมเรศ ศิลาอ่อน รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกันเป็นประธาน

...

สำหรับประเด็นสำคัญในการหารือในปี 2535 คือ เรื่องการค้าและการลงทุนในภูมิภาค การเจรจาการค้ารอบอุรุกวัย แผนการทำงานและอนาคตของเอเปก รวมทั้งมีการประกาศจัดตั้งสำนักเลขาธิการเอเปกให้มีสำนักงานอยู่ในประเทศสิงคโปร์ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้กับการดำเนินงานของเอเปก ซึ่งต่อมาในปี 2536 การประชุมเอเปกก็เรียกว่าเป็นการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปก โดยจัดขึ้นครั้งแรกที่ซีแอตเติล สหรัฐอเมริกา ในสมัยประธานาธิบดี บิล คลินตัน โดยมี นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี ไปร่วมประชุม

ไทยเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปก ครั้งที่ 11 หรือ APEC Thailand 2003 (Asia Pacific Economic Cooperation Thailand 2003) เมื่อปี 2546 โดยนายกรัฐมนตรีเวลานั้น คือ ทักษิณ ชินวัตร ได้ต้อนรับผู้นำจากประเทศ และเขตเศรษฐกิจ สมาชิกเอเปก
ไทยเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปก ครั้งที่ 11 หรือ APEC Thailand 2003 (Asia Pacific Economic Cooperation Thailand 2003) เมื่อปี 2546 โดยนายกรัฐมนตรีเวลานั้น คือ ทักษิณ ชินวัตร ได้ต้อนรับผู้นำจากประเทศ และเขตเศรษฐกิจ สมาชิกเอเปก

ส่วนการเป็นเจ้าภาพจัดประชุมเอเปกระดับสุดยอดผู้นำของประเทศนั้น ไทยเป็นเจ้าภาพครั้งแรกจึงเกิดเมื่อปี 2546 ในการประชุมเอเปก ครั้งที่ 11 หรือ APEC Thailand 2003 (Asia Pacific Economic Cooperation Thailand 2003) ซึ่งไทยได้เป็นเจ้าภาพต่อจากเม็กซิโก ภายใต้หัวข้อเรื่อง "โลกแห่งความแตกต่าง หุ้นส่วนเพื่ออนาคต" ระหว่างวันที่ 20-21 ตุลาคม 2546 ณ ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร (ยศขณะนั้น)

ในการประชุมครั้งนั้นก็มีปัจจัยแวดล้อมไม่ต่างจากปัจจุบัน เพราะอยู่ในสถานการณ์เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว แต่ยังต้องเผชิญหน้ากับปัญหาความมั่นคงด้านการก่อการร้าย และโรคระบาด SARS ซึ่งการประชุมครานั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ทำให้นานาประเทศรู้จัก “หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์” หรือโอทอปไทย เพราะมีการนำสินค้ามาจำหน่าย โชว์ และแจกจ่ายให้ผู้นำและแขกต่างประเทศได้เห็นและนำกลับประเทศไปด้วย

‘ยิ่งลักษณ์’ เสนอขอ แต่ ‘ประยุทธ์’ คว้าผลงานเป็นเจ้าภาพ

สำหรับ “เอเปก 2022” ซึ่งไทยรับไม้ต่อมาจากประเทศนิวซีแลนด์ที่จัดขึ้นเมื่อพฤศจิกายนปีที่แล้วที่เป็นการประชุมทางไกลนั้น ไทยได้แจ้งความประสงค์ขอเป็นเจ้าภาพล่วงหน้ามาตั้งแต่ปี 2555 เพราะการเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปกนั้นไม่ได้เรียงตามตัวอักษรของ 21 เขตเศรษฐกิจ แต่ขึ้นอยู่กับความพร้อม โดยมีสมาชิก 11 รายที่เคยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมมา 2 ครั้ง และมีสมาชิกอีก 7 รายที่เคยเป็นเจ้าภาพครั้งเดียว โดยฮ่องกง และไต้หวัน นั้นยังไม่เคยเป็นเจ้าภาพ ทำให้ไทยถือเป็นชาติสมาชิกเอเปครายที่ 12 ที่เป็นเจ้าภาพจัดประชุมสุดยอดผู้นำเอเปก

ในปี 2555 ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีขณะนั้น เดินทางกลับถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ในช่วงค่ำของวันที่ 9 ก.ย. หลังเสร็จภารกิจการเข้าร่วมประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก ที่นครวลาดิวอสตอค รัสเซีย ระหว่างวันที่ 7-9 ก.ย.
ในปี 2555 ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีขณะนั้น เดินทางกลับถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ในช่วงค่ำของวันที่ 9 ก.ย. หลังเสร็จภารกิจการเข้าร่วมประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก ที่นครวลาดิวอสตอค รัสเซีย ระหว่างวันที่ 7-9 ก.ย.

...

ในปี 2555 ที่ไทยแสดงตัวพร้อมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปก นั้นเกิดขึ้นในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลังจากเดินทางไปประชุมสุดยอดผู้นำเอเปกครั้งที่ 20 ที่เมืองวลาดิวอสตอค ประเทศรัสเซีย ซึ่งการเสนอตัวของรัฐบาลในขณะนั้นปฏิเสธไม่ได้ว่า ส่วนหนึ่งเพื่อหวังใช้การประชุมใหญ่ระหว่างประเทศเพื่อลบล้างตราบาปจากเหตุการณ์ล้มการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน เมื่อวันที่ 11 เม.ย. 2552 ที่โรงแรมรอยัลคลิฟบีช พัทยา ที่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือคนเสื้อแดง ได้บุกเข้าไปยังสถานที่ประชุม และล้มการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนและอาเซียน+3 ซึ่งรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นเจ้าภาพจัดขึ้น

ภาพคนเสื้อแดงนับพันทุบกระจกโรงแรม และตามล่าตัวนายอภิสิทธิ์ ในขณะที่ผู้นำอาเซียนและคู่เจรจาบางประเทศ และทีมรักษาความปลอดภัยของประเทศนั้นๆ ต้องขึ้นเรือเร็วหนีออกไปจากท่าเรือของโรงแรมรอยัลคลิฟบีช จนนำมาซึ่งบทสุดท้าย ที่ในเวลาต่อมาศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ลงโทษจำคุกแกนนำ นปช. 12 คน จำนวน 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา

เหตุการณ์ล้มการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนเมื่อวันที่ 11 เม.ย. 2552 ที่โรงแรมรอยัลคลิฟบีช พัทยา
เหตุการณ์ล้มการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนเมื่อวันที่ 11 เม.ย. 2552 ที่โรงแรมรอยัลคลิฟบีช พัทยา

...

เหตุการณ์ดังกล่าวได้สร้างความเสียหาย และสะท้อนจุดอ่อนของประเทศไทยในประสิทธิภาพการจัดประชุมระหว่างประเทศเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เพราะแม้การประชุมระดับใหญ่ๆ ทั่วไป ก็เคยมีเหตุการณ์ประท้วง หรือผู้เห็นต่างจากการประชุมอยู่เสมอ แต่ส่วนใหญ่จำกัดอยู่เพียงรอบนอกสถานที่ประชุม เพื่อแสดงสัญลักษณ์ความเห็นต่าง

แม้เวลาได้ผ่านไปนานแล้ว แต่ดูเหมือนเหตุการณ์นั้นยังเป็นฝันร้ายของประเทศไทยจนถึงเวลานี้

งานนี้จึงไม่แปลกที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จะทุ่มทุนสร้างอย่างมากในการจัดประชุมเอเปก 2022 ที่จัดเต็มในการรณรงค์เรื่อง “ไทยพร้อม เอเปกพร้อม” เพราะนอกจากเป็นผลงานชิ้นโบแดงทิ้งทวนให้กับรัฐบาลไทยต่อจากการฟื้นความสัมพันธ์กับประเทศซาอุดีอาระเบียแล้ว หากสำเร็จลุล่วงด้วยดี ยังเป็นการขโมยซีนการเป็นเจ้าภาพที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์เคยผลักดันไว้ได้อย่างเต็มที่อีกด้วย.