“ผมอายุถึง 41 ปีแล้ว และลงเล่นมามากกว่า 1,500 แมตช์ ตลอดการเล่นอาชีพที่เนิ่นนานมาร่วม 24 ปี เทนนิสได้ให้อะไรกับผม มากกว่าที่ผมเคยคิดฝันเอาไว้แล้ว และในเวลานี้ผมได้ตระหนักแล้วว่าถึงเวลาที่ต้องยุติเส้นทางการค้าแร็กเก็ตลงสักที” การกล่าวอำลาด้วยอารมณ์แห่งความเต็มตื้นของชายผู้เป็นตำนานวงการลูกสักหลาดโลกนาม “โรเจอร์ส เฟเดเรอร์” (Roger Federer) หนุ่มชาวสวิตเซอร์แลนด์ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักเทนนิสที่เก่งที่สุดในโลก หากแต่ความ “ถดถอย” อันเป็นความเที่ยงแท้แห่งชีวิตที่ไม่อาจปฏิเสธได้ของมนุษย์ ได้บีบให้ราชันแห่งพื้นสักหลาดต้องยุติเส้นทางแสนรักของตัวเองลงในที่สุด

การอำลาที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาของ โรเจอร์ส เฟเดเรอร์ และ ราฟาเอล นาดาล
การอำลาที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาของ โรเจอร์ส เฟเดเรอร์ และ ราฟาเอล นาดาล

...

จุดเริ่มต้น :

“โรเจอร์ส เฟเดเรอร์” เจ้าของฉายา “FedEX” ที่มาจากคำว่า “Federer Express” ซึ่งล้อเลียนมาจากบริษัทรับส่งวัสดุชื่อดัง และมีความหมายถึง “การส่งมอบความพ่ายแพ้ให้กับคู่ต่อสู้” เกิดที่เมืองบาเซิล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในปี 1981 โดยในช่วงวัยเด็กนั้น ชาวโลกเกือบหมดโอกาสที่จะได้เห็นความสง่างามราวกับเจ้าชายบนพื้นสักหลาดเสียแล้ว หลังเขาชอบเล่นฟุตบอลมากกว่ากีฬาประเภทอื่นๆ หากแต่การได้พบกับ “ปีเตอร์ คาร์เตอร์” (Peter Carter) โค้ชเทนนิสชาวออสเตรเลียคนแรกของเขา มันจึงทำให้ “ลูกฟุตบอล” เปลี่ยนมาเป็น “ลูกเทนนิส” ได้ในที่สุด

นอกจากนี้ ปีเตอร์ คาร์เตอร์ ยังช่วยพัฒนาให้ “FedEX” สามารถตีลูกแบ็กแฮนด์มือเดียวได้รุนแรงและเฉียบคม รวมถึงยังมีท่วงท่าการเล่นที่สง่างามอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ "เฟเดเรอร์" ต่อไปในอนาคตด้วย

ท่วงท่าอันสง่างามของ โรเจอร์ส เฟเดเรอร์
ท่วงท่าอันสง่างามของ โรเจอร์ส เฟเดเรอร์

เข้าสู่เส้นทางนักเทนนิสอาชีพ :

“FedEX” เริ่มเทิร์นโปรในปี 1998 ด้วยวัยเพียง 17 ปี อย่างไรก็ดีในช่วงแรกของการเล่นอาชีพนั้น ด้วยความที่ยังเป็นวัยรุ่นไร้ประสบการณ์และยังไม่รู้จักการควบคุมอารมณ์อันเกรี้ยวกราดได้ในยามที่ตัวเองเล่นผิดพลาด มันจึงทำให้ “หนุ่มนักเทนนิสชาวสวิส” ไม่ประสบความสำเร็จบนเส้นทางสายอาชีพมากนัก

หากแต่จุดเริ่มต้นที่ทำให้หนุ่มนักเทนนิสหน้าใหม่ถูกจับตาก็คือ การลงแข่งขันในเทนนิสวิมเบิลดัน ปี 2001 ซึ่งเขาสามารถพลิกล็อกคว่ำ “พีท แซมพราส” (Pete Sampras) อดีตมือวางอันดับหนึ่งของโลกและแชมป์วิมเบิลดัน 7 สมัย ชาวอเมริกันและขวัญใจของเขาในวัยเด็ก ในรอบที่ 4 ลงได้สำเร็จ อย่างไรก็ดีแม้ว่าในรอบก่อนรองชนะเลิศเขาจะพ่ายแพ้ให้กับ “ทิม เฮนแมน” (Tim Henman) นักเทนนิสเจ้าถิ่นจนไปไม่ถึงฝั่งฝัน หากแต่นั่นคือ “จุดเริ่มต้นของตำนานอีกหนึ่งบทของวงการเทนนิสโลก”

ตำนาน FedEX :

หลังตกอยู่ภายใต้แสงสปอตไลท์และเรียนรู้ที่จะควบคุมความประหม่าและอารมณ์ที่เกรี้ยวกราดจนเริ่มนิ่งมากขึ้น เช่นที่แฟนๆ เทนนิสโลกได้เห็นในปัจจุบัน ทุกอย่างจึงเฉิดฉาย “โรเจอร์ส เฟเดเรอร์” สามารถคว้าแชมป์แกรนด์สแลมแรกในชีวิตได้สำเร็จด้วยการพิชิตแชมป์วิมเบิลดันในปี 2003 จากนั้นความสำเร็จบนเส้นทางสายอาชีพก็ตามมาอีกเรื่อยๆ โดยปีที่รุ่งโรจน์ที่สุดบนเส้นทางนักเทนนิสอาชีพของ "FedEX" คือปี 2017 หลังสามารถทำเงินรางวัลสะสมได้มากถึง 13 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคว้าแชมป์แกรนด์สแลมได้ถึง 2 รายการ คือ "ออสเตรเลียน โอเพ่น" และ "วิมเบิลดัน"

...

ทั้งนี้ ตลอดเส้นทางการค้าแร็กเก็ตที่ยาวนานถึง 24 ปี “FedEX” สามารถคว้าแชมป์ได้รวมกันถึง 103 รายการ โดยในจำนวนนี้เป็นแชมป์แกรนด์สแลมครบทั้ง 4 รายการรวม 20 สมัย โดยแบ่งเป็น แชมป์วิมเบิลดัน 8 สมัย, ออสเตรเลียน โอเพ่น 6 สมัย, ยูเอส โอเพ่น 5 สมัย และ เฟรนช์ โอเพ่น 1 สมัย โดยมีสถิติชนะ 1,251 แมตช์ แพ้ 275 แมตช์ ทำเงินรางวัลรวมมากกว่า 130 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเป็นมือวางอันดับหนึ่งของโลกถึง 310 สัปดาห์

นอกจากนี้ “โรเจอร์ส เฟเดเรอร์” ยังถูกบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์วงการเทนนิสโลกด้วยว่า เป็นมือวางอันดับหนึ่งของโลกที่มีอายุมากที่สุด (36 ปี) ในปี 2018 ด้วย (อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ Atptour.com)

รายได้และความร่ำรวย :

“โรเจอร์ส เฟเดเรอร์” ถือเป็นหนึ่งในหมู่นักกีฬามหาเศรษฐี 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ระนาบเดียวกับ ไมเคิล จอร์แดน, ลิโอเนล เมสซี และ คริสเตียโน โรนัลโด เพราะนอกจากเงินรางวัลที่สะสมมาตลอดอาชีพซึ่งมากมายรวมกันถึง 130 ล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว รายได้จากบรรดาสปอนเซอร์จำนวนมากที่หลั่งไหลเข้ามาตลอด 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ยังถือเป็นแหล่งรายได้อันงดงามให้ "FedEX" ด้วย โดยในช่วงพีกของอาชีพ มีการคาดการณ์ว่า เฉพาะเพียงรายได้จากสปอนเซอร์ของ "เฟเดเรอร์" น่าจะอยู่ที่ประมาณ 94-100 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี

...

ด้านการประเมินของฟอร์บส์ (Forbes) ล่าสุด ระบุว่า ตลอดระยะเวลาของการลงเล่นเทนนิสอาชีพ “โรเจอร์ส เฟเดเรอร์” น่าจะสร้างรายได้ก่อนหักภาษีและค่าธรรมเนียมได้รวมกันถึง 1,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ “ราฟาเอล นาดาล” และ “โนวัค ยอโควิช” ทำได้เพียง 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 470 ล้านดอลลาร์สหรัฐตามลำดับเท่านั้น

ขณะเดียวกัน แม้ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา นักเทนนิสวัย 41 ปีผู้นี้จะประสบปัญหาอาการบาดเจ็บจนแทบไม่ได้ลงแข่งขัน แต่จนถึงปี 2022 นี้ “โรเจอร์ส เฟเดเรอร์” ยังคงเป็นนักเทนนิสที่ทำรายได้ต่อปีสูงสุดเป็นปีที่ 16 ติดต่อกันอยู่ต่อไปจากรายได้นอกสนามก้อนโต

นอกจากนี้ FedEX ยังเป็นนักกีฬาที่สามารถสร้างรายได้นอกสนามได้สูงที่สุดในโลกด้วยค่าเฉลี่ย 90 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ซึ่งสูงกว่าสุดยอดนักบาสเกตบอลโลกอย่าง “เลบรอน เจมส์” (LeBron James) ที่อยู่ในอันดับสอง ซึ่งมีค่าเฉลี่ย 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีด้วย

โดยสปอนเซอร์ที่จ่ายหนักๆ ให้กับ “โรเจอร์ส เฟเดเรอร์” มีตั้งแต่แบรนด์หรูอย่าง โรเล็กซ์ (Rolex), เมอร์เซเดส เบนซ์ (Mercedes Benz), เครดิตสวิส (Credit Suisse), หลุยส์ วิตตอง (Louis Vuitton), ริโมว่า (RIMOWA)

ส่วนแบรนด์กีฬายักษ์ใหญ่อย่าง ไนกี้ (NIKE) นั้นมีรายงานว่าจ่ายให้กับ FedEX รวมกันมากกว่า 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐตลอดระยะเวลาที่เป็นพันธมิตรกันร่วม 20 ปี ก่อนจะแยกทางกันในปี 2018 อย่างไรก็ดี ยูนิโคล่ (Uniqlo) แบรนด์สัญชาติญี่ปุ่น ได้อาสาเข้ามาแทนที่ ไนกี้ ทันที แถมยังยอมจ่ายเงินก้อนโตถึง 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อแลกกับการเป็นพันธมิตรภายในระยะเวลา 10 ปีด้วย ทำให้เมื่อประเมินแล้ว ความมั่งคั่งสุทธิในปัจจุบันของ “โรเจอร์ส เฟเดเรอร์” จึงอยู่ที่ 550 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

...

โนวัค ยอโควิช (ซ้าย) ราฟาเอล นาดาล (กลาง) โรเจอร์ส เฟเดเรอร์ (ขวาสุด)
โนวัค ยอโควิช (ซ้าย) ราฟาเอล นาดาล (กลาง) โรเจอร์ส เฟเดเรอร์ (ขวาสุด)

ดุลอำนาจในวงการเทนนิสและอาการบาดเจ็บ :

2 ศัตรูในสนามผู้น่ารัก

การครอบครองโลกเทนนิสของ “โรเจอร์ส เฟเดเรอร์” เริ่มถูกท้าทายหลังการปรากฏตัวของ “คู่ปรับร่วมยุคสมัย” ที่เกิดมาเพื่อเป็นราชาแห่งคอร์ตดินอย่างไอ้หนุ่มกระทิงดุ "ราฟาเอล นาดาล" (Rafael Nadal ปัจจุบันอายุ 36 ปี) และ “นาดาล” คนนี้เองคือคนที่ “ปิดกั้น” โอกาสในการคว้าแชมป์เฟรนช์ โอเพ่น ของ FedEX ลงเกือบสิ้นเชิงในทุกๆ ปี ยกเว้นเพียงปีเดียวเท่านั้นที่ “เฟเดเรอร์” สามารถพิชิตแชมป์คอร์ตดินนี้ได้คือในปี 2009 แถมนั่นยังเป็นเพราะ “นาดาล” ดันไปพลิกล็อกพ่ายแพ้ให้กับ “โรบิน โซเดอลิง” (Robin Soderling) นักเทนนิสชาวสวีดิช (ซึ่งต่อมาได้เข้าชิงชนะเลิศกับ เฟเดเรอร์) จนตกรอบ 4 ไปอย่างเหลือเชื่ออีกด้วย (สถิติการเผชิญหน้ากับ นาดาล ของ เฟเดเรอร์ คือ ชนะ 16 แพ้ 24)

เพื่อนรักและคู่ต่อสู้ ราฟาเอล นาดาล และ โรเจอร์ส เฟเดเรอร์
เพื่อนรักและคู่ต่อสู้ ราฟาเอล นาดาล และ โรเจอร์ส เฟเดเรอร์

โดยแมตช์แห่งความทรงจำในการเผชิญหน้าระหว่างทั้งคู่ คือ รอบชิงชนะเลิศออสเตรเลียน โอเพ่น ปี 2009 ซึ่ง เฟเดเรอร์ พ่ายให้กับ นาดาล หลังการดวลอย่างดุเดือดถึง 5 เซต ซึ่งถึงแม้จะรู้สึกสะเทือนใจต่อความพ่ายแพ้เป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกันในรายการเมเจอร์ให้กับ "นาดาล" แต่ “เฟเดเรอร์” ซึ่งไม่สามารถสะกดน้ำตาแห่งความเสียใจเอาไว้ได้ท่ามกลางมือที่โอบคอเพื่อหวังปลอบประโลมใจของนาดาล ก็ได้กล่าวยอมรับต่อสาธารณชนอย่างจริงใจว่า “นาดาลสมควรเป็นผู้ชนะพร้อมกับยกย่องการเล่นที่เหนือกว่าของคู่ปรับซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของเขาอย่างเปิดเผย”

และนอกจากจะมี “ราฟาเอล นาดาล” ก้าวขึ้นมาท้าทายแล้ว อีกหนึ่งคู่ปรับสำคัญที่ทำให้ดุลอำนาจวงการเทนนิสในยุคสมัยของเฟเดเรอร์ต้องเปลี่ยนไปคือ การเข้ามาแทรกแซงของ สุดยอดนักเทนนิสชาวเซอร์เบียผู้ปฏิเสธการฉีดวัคซีนโควิด-19 อย่าง "โนวัค ยอโควิช" (Novak Djokpvic ปัจจุบันอายุ 35 ปี) โดยสถิติการเผชิญหน้ากับ โนวัค ยอโควิช ของ เฟเดเรอร์ คือ ชนะ 23 แพ้ 27

การยอมรับซึ่งกันและกันของ โนวัค ยอโควิช (ซ้าย) และ โรเจอร์ส เฟเดเรอร์ (ขวา)
การยอมรับซึ่งกันและกันของ โนวัค ยอโควิช (ซ้าย) และ โรเจอร์ส เฟเดเรอร์ (ขวา)

ส่วนแมตช์แห่งความทรงจำในการเผชิญหน้าระหว่าง FedEX และ โนวัค ยอโควิช คือ รอบชิงชนะเลิศวิมเบิลดันปี 2019 เนื่องจากมันเป็นการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศวิมเบิลดันที่ดุเดือดและยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะการดวลไทเบรกในเซตที่ 5 ซึ่งทำเอาแฟนๆ เทนนิสหัวใจเกือบหยุดเต้นได้ตลอดเวลา จนทำให้ใช้เวลาในการแข่งขันรวมกันนานถึง 4 ชั่วโมง 57 นาที ก่อนที่ โนวัค ยอโควิช จะพิชิต เฟเดเรอร์ ที่ในเวลานั้นอายุ 37 ปีลงได้ในที่สุด พร้อมๆ กับทำลายความหวังในการคว้าแชมป์เมเจอร์สุดท้ายในอาชีพของ FedEX ให้สูญหายไปในอากาศอย่างไม่มีชิ้นดี

แต่แม้กระนั้น ความเสียใจและความพ่ายแพ้ก็ไม่อาจบดบังความเป็นสุภาพบุรุษนักกีฬาของ “เฟเดเรอร์” ไปได้ เขายังคงกล่าวชื่นชมต่อฟอร์มการเล่นที่สุดยอดและหัวใจนักสู้อันแข็งแกร่งของ “โนวัค ยอโควิช” ด้วยน้ำใจนักกีฬาอย่างแท้จริง

ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าทั้ง “ราฟาเอล นาดาล” และ “โนวัค ยอโควิช” จะถือเป็นคู่แข่งสำคัญที่เข้ามากั้นขวางความรุ่งโรจน์ในอาชีพนักเทนนิสของ FedEX อย่างแท้จริง หนำซ้ำยังถูกทั้งคู่ทำสถิติคว้าแชมป์แกรนด์สแลม (นาดาล 22 สมัย ยอโควิช 21 สมัย) และเงินรางวัลสะสมแซงหน้าไปแล้วก็ตาม (นาดาล 131 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ยอโควิช 159 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)

หากแต่ สุภาพบุรุษนักกีฬาทุกกระเบียดนิ้วอย่าง “เฟเดเรอร์” กลับมองว่า ทั้งคู่เป็นเพียงคู่แข่งในสนามเท่านั้น และการลงขับเคี่ยวกับทั้งคู่บนพื้นสักหลาดคือการผลักดันซึ่งกันและกัน รวมถึงพวกเขาทั้ง 3 คน คือ “ผู้ร่วมกันยกระดับวงการเทนนิสโลก” ด้วย

การอำลาอาชีพที่แสนรัก ของ โรเจอร์ส เฟเดเรอร์
การอำลาอาชีพที่แสนรัก ของ โรเจอร์ส เฟเดเรอร์

อาการบาดเจ็บ

นอกจากอายุอานามที่เพิ่มมาขึ้นแล้ว อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ “โรเจอร์ส เฟเดเรอร์” จำต้องโบกมือลาวงการสักหลาด คือ อาการบาดเจ็บเรื้อรังที่หัวเข่าขวา โดยในช่วงเวลาเพียง 1 ปีครึ่งที่ผ่านมา “เฟเดเรอร์” ต้องเข้ารับการผ่าตัดที่หัวเข่าขวามาแล้วถึง 3 ครั้ง ทำให้ตลอดฤดูกาลปี 2020 และ 2021 ทำให้ต้องพลาดการลงเล่นยาวนานรวมกันถึง 14 เดือน จนทำให้ฟอร์มการเล่นไม่ยอดเยี่ยมเช่นที่เคยเป็นมา พร้อมๆ กับอันดับโลกที่ปัจจุบันรูดลงถึงอันดับที่ 97 (อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ Atptour.com)

“ผมทำงานอย่างหนักเพื่อหวังจะกลับไปจุดที่พร้อมเต็มที่สำหรับการลงทำการแข่งขัน แต่ในที่สุดผมก็รู้ถึงความสามารถและขีดจำกัดของร่างกาย ทุกอย่างให้ความชัดเจนแล้ว” FedEX กล่าวยอมรับถึงสภาพร่างกายที่โรยราในการประกาศอำลาอาชีพที่เขาคลั่งรักมาเนิ่นนานร่วม 2 ทศวรรษ

“การเริงระบำสุดท้าย” ของหนึ่งในสุดยอดนักเทนนิสโลกที่ได้รับการยกย่องจากแฟนๆ ทั้งโลกว่า เต็มไปด้วย ความรวดเร็ว พละกำลัง สร้างสรรค์ และท่วงท่าอันสง่างาม ราวกับงานศิลปะ ได้เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดเฉกเช่นเดียวกับ “คลื่นลูกเก่า” ในวงการเทนนิสก่อนหน้านี้

หากแต่สิ่งหนึ่งที่เชื่อเหลือเกินว่า “โรเจอร์ส เฟเดเรอร์” จะไม่เลือนหายไปจากความทรงจำของแฟนๆ นักเทนนิสคนใดก็คือ ความเป็นสุภาพบุรุษนักกีฬา ที่ทั้งยอมรับและให้การยกย่องคู่แข่งที่เหนือกว่าได้เสมอในยามใดที่ต้องพ่ายแพ้ "เพราะกีฬา คือ เกมของสุภาพบุรุษ".

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน

กราฟิก : Anon Chantanant

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :