โกลเดนสเตต วอร์ริเออร์ส (Golden State Warriors) ทีมที่ใครๆ ต่างคิดกันว่ากำลังก้าวลงจากจุดสูงสุดจากสารพัดปัญหาที่รุมเร้ามากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการแยกทางกับ เควิน ดูแรนท์ อีกทั้งสามทหารเสือแกนหลักที่เหลืออยู่ อย่าง สตีเฟน เคอร์รี (34 ปี), เคลย์ ทอมป์สัน (32 ปี) และ เดรย์มอนด์ กรีน (32 ปี) ต่างอยู่ในช่วงถดถอยด้วยวัยที่เพิ่มมากขึ้น แถมฟอร์มการเล่นก็ยังกระท่อนกระแท่นจนไม่สามารถจบฤดูกาลปกติด้วยสถิติที่ดีที่สุดของฝั่งตะวันตกได้ แต่ในท้ายที่สุดพวกเขากลับสามารถกลับมาผงาดคว้าแชมป์ NBA ในฤดูกาลนี้ได้สำเร็จ แถมยังเป็นการพิชิตทีมที่กำลังฟอร์มร้อนแรงและเต็มไปด้วยดาวรุ่งที่น่าจับตาอย่าง บอสตัน เซลติกส์ (Boston Celtics) เพียงในเกมที่ 6 ของ NBA FINAL เสียด้วย! (ปิดซีรีส์ด้วย 4-2 เกม 108-120, 107-88, 100-116, 107-97, 104-94, 103-90)
...
แล้วอะไรคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ “นักรบทองคำ” คืนสู่บัลลังก์ แชมป์ NBA สมัยที่ 4 ในรอบ 8 ปี ในยุค Golden Dynasty?
คีย์แมนแห่งความสำเร็จ ชายผู้มีชื่อว่า Stephen Curry :
สตีเฟน เคอร์รี เป็นนักบาสคนที่ 4 ในประวัติศาสตร์ของ NBA ที่สามารถทำค่าเฉลี่ย 30-5-5 (30 แต้ม 5 รีบาวด์ 5 แอสซิสต์) ในซีรีส์ NBA Final ต่อจาก เจอร์รี เวสต์ (Jerry West), ไมเคิล จอร์แดน (Michael Jordan) และ เลอบรอน เจมส์ (LeBron James) โดยในซีรีส์ NBA Finals 2022 “Steph” ทำค่าเฉลี่ยได้ถึง 31.2 แต้ม 6 รีบาวด์ และ 5 แอสซิสต์ ต่อเกม
ขณะเดียวกัน สตีเฟน เคอร์รี ยังเป็นผู้เล่นเพียงคนเดียวในประวัติศาสตร์ NBA ที่มีค่าเฉลี่ยการยิง 3 คะแนนสำเร็จ อย่างน้อย 5 ครั้งต่อเกมใน NBA Finals อีกด้วย โดยในรอบชิงปี 2022 ทำค่าเฉลี่ยได้ 5.2 ครั้งต่อเกม
หากแต่สิ่งที่แสดงถึงประสิทธิภาพอันล้นเหลือของ “Steph” ที่ส่งให้เขากลายเป็น Finals MVP คือ การเป็นผู้เล่นอันดับหนึ่ง ที่มีค่าเฉลี่ยการทำคะแนนที่สูงที่สุดใน 6 เกมของซีรีส์ โดยจากคะแนนรวมทั้งหมดที่ “วอร์ริเออร์ส” ทำได้ทั้ง 6 เกมในรอบชิง คือ 629 แต้ม นั้น มาจากการทำคะแนนของ “Steph” คนเดียวถึง 187 แต้ม หรือคิดเป็นค่าเฉลี่ยสูงถึง 29.7%!
ซึ่งเหนือกว่า สองคู่หูของ “บอสตัน เซลติกส์” เจย์เลน บราวน์ (Jaylen Brown) และ เจย์สัน เททัม (Jayson Tatum) ที่ทำได้ 141 แต้ม หรือ 23.3% และ 129 แต้ม หรือ 21.3% ตามลำดับ จากคะแนนรวมที่ “เซลติกส์” ทำได้ 605 แต้มใน 6 เกมของซีรีส์
สตีเฟน เคอร์รี สำคัญแค่ไหนสำหรับ วอร์ริเออร์ส :
สิ่งที่แสดงให้เห็นถึง “อิทธิพล” ของ สตีเฟน เคอร์รี ที่มีอยู่เหนือเกมการเล่นของ “วอร์ริเออร์ส” ได้อย่างเด่นชัดที่สุดคือ เมื่อใดก็ตามที่ “ร่างเทพของเขาปรากฏตัวอยู่เหนือคอร์ต” การทำแต้มของทีมจะเต็มไปด้วยประสิทธิภาพอันน่าทึ่งขึ้นมาทันที!
โดยค่าเฉลี่ยการทำคะแนนที่โกลเดนสเตต วอร์ริเออร์ส ทำได้ต่อจำนวนครั้งการบุก 100 ครั้ง (Points per Possessions) ในช่วงเวลาที่ “Steph” โลดแล่นอยู่บนคอร์ตรวม 225 นาทีใน NBA Finals นั้น มีค่าเฉลี่ยสูงถึง 115.8 แต้ม แต่กลับกันในช่วงระยะเวลารวม 109 นาที ที่มือปืน 3 แต้ม หมายเลข 30 ผู้นี้ออกไปนั่งข้างสนาม ค่าเฉลี่ยดังกล่าวจะลดลงมาเหลือเพียง 88.6 แต้มเท่านั้น
...
นั่นเป็นเพราะในช่วงเวลาที่ “พลพรรคนักรบทองคำ” มีสัญลักษณ์แห่งชัยชนะของทีมผู้นี้ปรากฏตัวอยู่ในสนาม เขาจะกลายเป็นแรงดึงดูดให้แนวป้องกันของฝ่ายตรงข้ามให้ความสนใจดูแลเป็นพิเศษทำให้เพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆ เล่นง่ายขึ้น อีกทั้งการเคลื่อนที่บนคอร์ตของชายผู้นี้ ยังสามารถเปิดช่องทางและโอกาสให้กับเพื่อนร่วมทีมสามารถยิงทั้งวงในและวงนอกได้ง่ายดายมากขึ้นอีกด้วย
มือปืน 3 คะแนนที่นำไปสู่ผลลัพธ์ที่แตกต่าง :
หลังพิชิต บอสตัน เซลติกส์ ในรอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ สตีเฟน เคอร์รี ขยายการทำสถิติการยิง 3 คะแนนที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ NBA Finals จาก 121 ครั้ง เป็น 152 ครั้ง และ “Steph” ยังเป็นผู้เล่นเพียงคนเดียวในประวัติศาสตร์ของ NBA Finals ที่ยิง 3 คะแนนได้เกิน 100 ครั้งต่อไป
...
นอกจากนี้ การยิง 3 คะแนน ได้ถึง 31 ครั้งในรอบชิงชนะเลิศฤดูกาลนี้ ยังถือเป็นการทำลายสถิติการยิง 3 คะแนนของตัวเองที่เคยทำไว้ 25 ครั้ง ใน NBA Finals ปี 2015 อีกด้วย
เทคนิคเฉพาะตัวอันแสนร้ายกาจ Pull-up Shooting :
เป็นที่ทราบกันดีว่าเทคนิคเฉพาะตัวที่ทำให้การชู้ตทำ 3 คะแนน ของ “Steph” ยากจะหาใครหยุดยั้งได้คือ Pull-up Shooting (การเลี้ยงบอลแล้วหยุดทันทีพร้อมกับกระโดดยิงอย่างรวดเร็ว) ซึ่งเทคนิคที่ว่านี้ ถูกนำมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพในการบดขยี้ทีมวัยรุ่นอย่าง “เซลติกส์” จนหายซ่า
โดย Finals MVP ผู้นี้ใช้เทคนิค Pull-up Shooting จนทำให้มีค่าเฉลี่ยการยิงลงห่วงสำเร็จ (รวมการยิง 3 คะแนน) ถึง 36 ครั้งต่อความพยายาม 75 ครั้งใน 1 เกม หรือคิดเป็น 48% โดยหากแยกเป็นการยิงวงในค่าเฉลี่ยที่ว่านี้จะสูงถึง 63.3% และเฉพาะการยิง 3 คะแนน จะอยู่ที่ 41.8%
...
ในขณะที่ "เจย์สัน เททัม" สตาร์แห่งความหวังของบอสตัน เซลติกส์ มีค่าเฉลี่ยการยิงลงห่วงสำเร็จ (รวมการยิง 3 คะแนน) เพียง 13 ครั้งต่อความพยายาม 47 ครั้งใน 1 เกม หรือคิดเป็นเพียง 27.7% โดยหากแยกเป็นการยิงวงในค่าเฉลี่ยจะอยู่ที่ 38.3% และเฉพาะการยิง 3 คะแนน จะอยู่ที่ 43.5%
“ผมภูมิใจในทีมของเรามาก ช่วงต้นฤดูกาลไม่มีใครคิดว่าพวกเราจะมาอยู่ในจุดนี้ได้ ยกเว้นทุกคนในสนามแห่งนี้” คำกล่าวอันนอบน้อมของชายผู้พาโกลเดนสเตต วอร์ริเออร์ส เถลิงแชมป์ NBA ได้ถึง 4 สมัย (2015, 2017, 2018, 2022), Finals MVP 1 ครั้ง และ MVP ในฤดูกาลปกติอีก 2 ครั้ง รวมทั้งยังเป็นการปิดฉาก NBA ในฤดูกาลนี้ไปอย่างงดงาม
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
กราฟฟิก : Theerapong C.
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :