ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา จนถึงเดือนกันยายน กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้เก็บข้อมูลคนต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทย รวม 85,845 ราย โดยชาติที่มาเมืองไทยมากที่สุดคือ สหราชอาณาจักร 8,170 คน รองลงมาก็คือ ชาวเยอรมัน 6,694 คน
กระทั่งวันที่ 1 พ.ย. วันเปิดประเทศ แค่เพียงวันเดียวก็มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาประเทศไทยราว 6,600 คน ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นการฟื้นฟูการท่องเที่ยว
นางมาริสา สุโกศล หนุนภักดี นายกสมาคมโรงแรมไทย เผยว่า ตั้งแต่ปลดล็อกการเดินทางตั้งแต่เดือนตุลาคมก็ทำให้การท่องเที่ยวดีขึ้น โดยเฉพาะจังหวัดที่ใกล้เคียงกรุงเทพฯ เช่น พัทยา หัวหิน เขาใหญ่ หรือเชียงใหม่ โดยเฉพาะช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ มีนักท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางกันมากขึ้น
“สำหรับจังหวัดท่องเที่ยวหลัก คงต้องรอนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่ผ่านมา การท่องเที่ยวฯ เคยประเมินไว้ว่าน่าจะมีนักท่องเที่ยวประมาณเดือนละ 3 แสนคน ในช่วงพฤศจิกายน-ธันวาคม ซึ่งหากเปรียบเทียบกับช่วงเวลาปกติ คือ เดือนละ 3 ล้าน แต่ตรงนี้ก็ถือว่าดีแล้ว ซึ่งก็มีโรงแรมรับได้อยู่แล้ว”
...
จากข้อมูลที่ได้รับคือ ในวันแรก มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาที่กรุงเทพฯ ประมาณ 2 พันกว่าคน เมื่อคุยกับเอเจนต์ที่พานักท่องเที่ยวเข้ามา เขาดีใจกันมาก บอกว่าตอนนี้ยอดจองดีมาก ยอดจองเข้ามาจนถึงสิ้นปี แต่ดีขึ้นในที่นี้ คือ การดีขึ้นจากฐานที่ต่ำมาก ซึ่งทาง ททท. (การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) ก็ประเมินไว้ว่าปีหน้าน่าจะมีนักท่องเที่ยวมาไทยสัก 10 ล้านคน เพิ่มขึ้น 25% ซึ่งเชื่อว่าปีหน้าจะอยู่ใน “ภาวะฟื้นตัว”
3 กลุ่มหลักเดินทางเข้าไทย ท่องเที่ยว ทำธุรกิจ และ Medical tourism
นายกสมาคมโรงแรมไทย เผยต่อว่า เวลานี้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามา ส่วนใหญ่จะลงใต้ โดยเฉพาะชาวต่างชาติกลุ่มสแกนดิเนเวีย เพราะถือเป็นช่วงหนีหนาวของเขา และที่สำคัญ การเที่ยวจะเป็นลักษณะไม่เดินทางไปไหนมากไหนเยอะ
ส่วนชาวต่างชาติที่มาลงเครื่องบินที่กรุงเทพฯ จะเป็นคนไทยบางส่วนที่เดินทางกลับประเทศ ขณะที่ชาวต่างชาติที่เข้ามากรุงเทพฯ มากในเวลานี้คือ คือ ชาวญี่ปุ่น เพราะเขาเดินทางมาทำธุรกิจในประเทศ
กลุ่มที่ 2 เป็นนักท่องเที่ยวที่มีเป้าหมายไปที่ พัทยา จ.ชลบุรี เพราะมีข้อกำหนดว่าเมื่อลงจากเครื่องบินแล้ว ต้องเดินทางไม่เกิน 2 ชั่วโมง ซึ่งเขาก็มุ่งหน้าไปพัทยาเลย
กลุ่มที่ 3 คือ Medical tourism คือ กลุ่มที่เข้ามารักษาตัว ในเมืองไทย
“ช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้อาจจะเป็นการต้อนรับนักท่องเที่ยวกลุ่มเหล่านี้ก่อน เพราะเป็นเหมือนการอุ่นเครื่องเปิดประเทศ ซึ่งถือเป็นเรื่องดี ที่เปิดประเทศแล้วมีคนสนใจเข้ามาท่องเที่ยว แต่หลังจากนี้เชื่อว่าจะมีนักท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้นในเดือนธันวาคม เพราะถือเป็นช่วงไฮซีซั่น”
5 ข้อ เรียกความมั่นใจ ชาวต่างชาติเข้าไทย
เมื่อถามนายกสมาคมโรงแรมไทย ว่า อะไรที่เรียกความมั่นใจให้เขาเดินทางมาเที่ยวประเทศไทย นางมาริสา นิ่งคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะไล่เรียงเป็นข้อๆ ว่า...
1.มาตรฐานความปลอดภัยเรื่อง SHA และ SHA+ ซึ่งได้รับการรับรองจาก world travel and tourism council
2.อัตราการเสียชีวิตของคนไทยน้อยลง
3.อัตราฉีดวัคซีนของคนไทย และผู้ให้บริการด้านการท่องเที่ยวมากขึ้น ซึ่งเวลานี้ในส่วนพนักงานโรงแรมต่างๆ ถือว่าได้วัคซีนกันเกือบหมดแล้ว เพราะผู้ประกอบการจะได้มาตรฐาน SHA และ SHA+ พนักงานทุกคนต้องได้รับวัคซีนแล้ว
4. การที่เราปฏิบัติการตามหลักสุขอนามัย ด้วยการใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา ถือเป็นการสร้างความมั่นใจ
5.มีระเบียบการเข้ารับบริการท่องเที่ยวอย่างชัดเจน เช่น นักท่องเที่ยวต้องได้รับวัคซีนมาแล้ว 2 เข็ม และการตรวจตอนเข้าประเทศหลายรอบ ทั้งก่อนมา และหลังเดินทางมาถึง ทำให้สร้างความมั่นใจให้กับทั้ง 2 ฝ่าย
...
“ต้องยอมรับว่ามีการตรวจพบชาวต่างชาติเป็นโควิดอยู่บ้าง หากเปรียบเทียบในช่วงภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ที่พบเพียง 0.3% ซึ่งหากเปิดประเทศจริงๆ หากมาเดือนละ 3 แสนคน ตามการประมาณการ ก็เชื่อว่าจะมีคนติดโควิดเข้ามามากกว่านั้น แต่จากมาตรการที่ผ่านมานักท่องเที่ยวที่เข้าประเทศไทยไม่เคยแพร่เชื้อโควิดให้คนไทยเลยสักคนเดียว”นางมาริสา กล่าว
หากพบว่าติดเชื้อ เขาจะต้องไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลคู่สัญญากับโรงแรม ซึ่งนี่คือเงื่อนไขที่นักท่องเที่ยวต้องยอมรับก่อนเดินทางเข้ามา คนที่ติดโควิดมาแล้ว คนที่นั่งข้างๆ ซ้ายขวาก็ถือว่าสัมผัสเสี่ยงสูง ก็จำเป็นต้องรอดูอาการด้วย แน่นอนว่า อาจจะไม่สะดวกสบายเหมือนแต่ก่อน เรื่องนี้จึงอยากให้ผู้เกี่ยวข้อง รัฐบาล โรงแรม เอเจนต์ เร่งประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวเข้าใจก่อน
...
โรงแรมที่เป็น SHA และ SHA+ และความเหลื่อมล้ำ
นายกสมาคมโรงแรมไทย ยอมรับว่า เวลานี้ผู้ประกอบการโรงแรมขอเข้าโครงการ SHA และ SHA+ มากขึ้น โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ก็ประมาณ 290 กว่าแห่ง
เมื่อถามว่า ผู้ประกอบการโรงแรมใหญ่ ได้เปรียบ ผู้ประกอบการรายเล็กหรือไม่ นางมาริสา กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องยอมรับว่า โรงแรมที่ใหญ่ เขาอาจจะมีความพร้อมมากกว่า เพราะเขาจะมีคู่สัญญากับทางโรงพยาบาล เข้าโครงการ SHA+ ได้ แต่เมื่อนักท่องเที่ยวพักคืนแรกแล้ว จากนั้นคืนที่ 2 ก็อาจจะย้ายโรงแรมได้
“ยอมรับว่าเวลานี้โรงแรมเล็กๆ ยังได้รับผลกระทบมาก หากเราไปดูที่ ถนนข้าวสาร ก็จะเห็นว่าปิดไปเยอะ เรียกว่าร้างเลย แต่ตอนนี้ โรงแรมเล็กๆ ก็เริ่มสมัครเข้ามาตรฐาน SHA+ กันแล้ว เช่น ซอยนานา แต่แน่นอน การมาในเวลานี้ค่าใช้จ่ายย่อมเพิ่มขึ้นกว่าปกติ โดยมีค่าตรวจโควิด ประมาณ 2 พัน และค่าประกันภัยต่างๆ”
ความแตกต่างในตอนนี้คือ นักท่องเที่ยว อาจจะไม่จำเป็นต้องกักตัวนาน เลยไม่จำเป็นต้องอยู่นาน อาจจะอยู่ 3-4 คืน แล้วบินกลับก็ได้
คืนแรกต้องเข้มกฎระเบียบ ฝากทุกโรงแรมอย่าละเลย
ถึงเวลาแล้วที่จะต้องเปิดประเทศ เพื่อให้ธุรกิจมันเดินต่อไปได้ และมาตรการที่มีการกำหนด ถือว่าเพียงพอในการคัดกรองคนได้ดี
ส่วนข้อกังวล คืออยากให้ทุกโรงแรม โดยเฉพาะในคืนแรกให้ปฏิบัติตามขั้นตอนอย่างจริงจัง ขอให้ภาครัฐทำระบบการสื่อสารให้เชื่อมกัน เพื่อให้เรามีและรับทราบข้อมูลที่ประโยชน์ เช่น เราอยากรู้ว่ามีคนติดโควิด เข้ามาในประเทศกี่เคสแล้ว อยู่ที่ไหนบ้าง เพื่อเป็นการตรวจสอบข้อมูลที่ถูกต้องสร้างความมั่นใจ ซึ่งทุกวันนี้แค่ข้อมูลนักท่องเที่ยวที่เข้ามาจากประเทศอะไรบ้าง กี่คน บางครั้งกว่าจะได้ข้อมูลก็เป็นสัปดาห์
...
“เราอยากได้ข้อมูลเหล่านี้เป็นลักษณะเรียลไทม์ หรือรายวัน เพื่อที่เราจะได้วางแผนการตลาดที่ถูกต้องได้ ซึ่งเรื่องนี้ภาครัฐ และเอกชน ควรต้องร่วมกันลงมือทำ เพื่อทำข้อมูลที่ใช้ได้จริง”
วอนภาครัฐช่วยพยุงกลุ่มโรงแรมที่ล้มเจ็บ
ในช่วงท้ายทีมข่าวฯ ถามนางมาริสา ได้ฝากถึงรัฐบาลช่วยเหลือภาคท่องเที่ยวด้วยว่า ตอนนี้มีความเหลื่อมล้ำ ระหว่างโรงแรมที่มีทุน หรือ มีสายป่าน กับ โรงแรมขนาดกลางและเล็ก รวมไปถึงโรงแรมที่ไม่จดทะเบียนยังมีเยอะ การเปิดโรงแรมอีกครั้งเพื่อรับนักท่องเที่ยวย่อมมีค่าใช้จ่าย ก็อยากให้ทางภาครัฐและธนาคาร ช่วยเหลือพิจารณาเงินกู้ Soft Loan หรือแหล่งเงินอื่นๆ มาช่วย เพราะผู้ประกอบการเหล่านี้เขาขาดทุนมา 2 ปีแล้ว จำเป็นต้องใช้ทุนในการเริ่มต้นอีกครั้ง เพราะธุรกิจเหล่านี้กลายเป็น NPL ไปแล้ว
อีกส่วนคือการช่วยเหลือแรงงาน ซึ่งล่าสุด ทราบว่าทาง ก.แรงงาน ได้มีโครงการช่วยเหลือกลุ่มพนักงานบริษัท ที่มีไม่เกิน 200 คน ซึ่งถือเป็นโครงการที่ดีมาก
ส่วนที่ 3 คือ เรื่องค่าไฟ เพราะภาคท่องเที่ยว เป็นธุรกิจที่ใช้ต้นทุนด้านนี้เยอะ ก็อยากพิจารณาให้ช่วยลดราคา
ส่วนที่ 4 ภาษีและสิ่งปลูกสร้างก็อยากให้ช่วยลดลงหน่อย สัก 1-2 ปี
และเรื่องสุดท้ายคือ อยากให้คงโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศไว้ เช่น เราเที่ยวด้วยกัน ช้อปดีมีคืน ยิ่งใช้ยิ่งได้ ใช้เงินแล้วช่วยลดหย่อนภาษีได้ ก็ช่วยภาคท่องเที่ยวได้มากเช่นกัน
ผู้เขียน : อาสาม
อ่านสกู๊ปที่น่าสนใจ