ประเด็นการเพิ่มโรงรับจำนำ และโรงรับจดจำนอง หนึ่งในหลายๆ มาตรการระยะสั้นภายใน 6 เดือนของรัฐบาล เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินประชาชนในช่วงวิกฤติโควิด โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน
ทันทีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกมาพูดถึงเรื่องนี้ ทำให้ทักษิณ ชินวัตร หรือ Tony Woodsome ในแอปพลิเคชันคลับเฮาส์ อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้อยู่แดนไกล ได้ออกมาคัดค้านและเห็นว่ารัฐบาลควรเพิ่มรายได้ให้กับคนจนมากกว่า และไปปรับโครงสร้างหนี้ ไม่ใช่ไปเพิ่มโรงรับจำนำ
ข้อมูลตัวเลขการจำนำของสํานักงานสถานธนานุบาลกรุงเทพมหานคร ในช่วงเดือนม.ค.-มี.ค. 2564 มีการปรับขึ้นต่อเนื่อง มีมูลค่า 1,370 ล้านบาท และเฉพาะเดือน เม.ย. อยู่ที่ 426 ล้านบาท แสดงให้เห็นแนวโน้มการนําทรัพย์มาจํานำในทิศทางขาขึ้น จากการแพร่ระบาดของโควิด ทำให้ประชาชนขาดสภาพคล่อง ต้องพึ่งพาโรงรับจํานํา นำเงินไปใช้จ่าย หรือลงทุนค้าขาย
ทรัพย์ที่มาจํานําส่วนใหญ่ เป็นทองรูปพรรณ รองลงมา เป็นอัญมณี เพชร พลอย กรอบพระทอง นาก และเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องมือช่าง หรือหากขัดสน ไม่เหลืออะไรแล้ว ต้องนำหม้อก๋วยเตี๋ยว หม้ออะลูมิเนียม ถาดอะลูมิเนียม และครกหิน ไปจำนำ
...
ปัจจุบันโรงรับจำนำ ทั้งรัฐและเอกชน มีมากกว่า 800 แห่ง แยกเป็นสถานธนานุเคราะห์ ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จำนวน 39 แห่งทั่วประเทศ มีดอกเบี้ยถูกที่สุด ยังมีสถานธนานุบาล สังกัด กทม. 21 แห่ง และองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ ประมาณ 238 แห่ง นอกนั้นเป็นโรงรับจำนำเอกชน มีสาขามากที่สุด กว่า 500 แห่งทั่วประเทศ
สำนักงานธนานุเคราะห์ คาดการณ์ว่า ในงบประมาณ 2564 จะมีผู้มาใช้บริการประมาณ 1.45 ล้านราย เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ประมาณ 48,333 ราย และมีจำนวนเงินรับจำนำประมาณ 20,647 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 609 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมา ครม. ได้อนุมัติการกู้เงินของสำนักงานธนานุเคราะห์ จำนวน 500 ล้านบาท ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
ส่วนสาเหตุที่คนไทยจำนวนมาก พึ่งพิงโรงรับจำนำเพื่อแก้ปัญหาสภาพคล่อง เนื่องจากดอกเบี้ยถูก ได้เงินเร็ว ไม่ต้องมีคนค้ำประกัน เพียงแค่ใช้บัตรประชาชน ทรัพย์สินไม่หาย สามารถผ่อนชำระเป็นงวดๆ ได้ ไถ่ของคืนได้ และไม่เสียเครดิตหากปล่อยของหลุดจำนำ
แม้โรงรับจำนำ หรือโรงตึ๊ง จะเป็นที่พึ่งของคนไทยยามขัดสน แต่ในมุมมองของ ”ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และอดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลที่จะแก้ปัญหาหนี้สินประชาชนด้วยการเพิ่มจำนวนโรงรับจำนำ เพราะจะทำให้ประชาชนที่ยากจนเป็นหนี้เพิ่มขึ้นอีก ซึ่งการแก้ไขหนี้สินของประชาชนต้องทำให้ประเทศเจริญเติบโตมากๆ ให้ประชาชนมีงานทำ มีรายได้ดีๆ จะทำให้ประชาชนลดหนี้ลงได้ และมีเงินเก็บออมเพื่ออนาคต
นอกจากนี้ยังไม่เห็นกับโครงการแจกเงินต่างๆ ของรัฐบาลหลายรูปแบบ ที่ให้ประชาชนเอาเงินตนเองมาใช้ แล้วรัฐบาลสมทบให้อีกส่วนหนึ่ง เช่น โครงการคนละครึ่ง โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ เพราะเป็นการลดการออมและเพิ่มหนี้ประชาชน
ส่วนทางออกรัฐบาลควรมีนักเศรษฐศาสตร์ที่มีความรู้จริง มาดูแลปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังย่ำแย่ด้วยการกระทำของรัฐบาลเอง เพราะหากรัฐบาลเดินแบบผิดทิศทางเช่นปัจจุบัน ประเทศจะล้มละลาย ประชาชนจะยากจนเป็นหนี้สินล้นพ้นตัว จากวิธีการคิดของรัฐบาล มักตรงกันข้ามกับสิ่งที่ควรจะทำอยู่เสมอ การบริหารประเทศ ผู้นำต้องสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนในชาติ รวมถึงนักลงทุนและนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ
...
“การพูดอะไร ต้องใช้ความรู้จริง มิใช่ความรู้สึก การพูดแบบไม่คิด ไม่มีองค์ความรู้ และไม่ไตร่ตรอง นอกจากจะทำให้ผู้คนเห็นว่ารัฐบาลขาดสติปัญญาแล้ว ยังทำลายความเชื่อมั่นอย่างร้ายแรง ทำให้ไม่มีใครมาลงทุน และที่ลงทุนอยู่แล้ว ก็ย้ายออกไปประเทศอื่น เป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้เศรษฐกิจไทยโตต่ำมาก ในช่วงปฏิวัติรัฐประหารตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปลายปี 2562 เป็นช่วงเวลาก่อนการแพร่ระบาดของโควิด”
จากการแพร่ระบาดของโควิด ระลอกที่ 3 ในช่วงเดือน เม.ย. ด้วยการกระทำของคนในรัฐบาลเอง แทนที่รัฐบาลจะรีบกระจายการฉีดวัคซีน กลับสั่งปิดธุรกิจ สั่งหยุดกิจกรรมอีก ไม่ให้ประชาชนทำมาหากิน จนฐานะของประชาชนย่ำแย่ลง และเมื่อสั่งให้คนหยุดทำงาน โดยรัฐบาล ออก พ.ร.ก.กู้เงิน 2 ฉบับ รวมเป็นเงิน 1.5 ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่นำเงินมาแจก ในหลากหลายรูปแบบ
“เสมือนหนึ่งซื้อเสียงล่วงหน้า อุปมาเหมือนครอบครัวที่ยากจน ไม่ให้ใครออกไปทำงาน แต่หัวหน้าครอบครัวไปกู้เงินมาแจก มากิน มาใช้ จนหนี้รัฐบาลท่วมท้น เป็นวิธีการบริหารประเทศของคนขาดสติ เช่นเดียวกับความคิดที่ให้ประชาชนถอนเงินออม ออกมาใช้ แล้วรัฐบาลเติมเงินให้ เหมือนกับเวเนซุเอลา ซิมบับเว ผลก็คือ ประเทศล้มละลาย”
...
ปัจจุบันประชาชนไทยยากจนลงไปเป็นจำนวนมาก ด้วยการสั่งปิดประเทศ ปิดกิจกรรมแบบพร่ำเพรื่อ สั่งวัคซีนมาน้อย เพราะคิดว่าไม่จำเป็น ฉีดวัคซีนก็ช้า ส่งเสริมวัคซีนเพียง 2 ยี่ห้อ ที่มีประสิทธิภาพน้อย แต่ซื้อมาในราคาแพงกว่าวัคซีนดีๆ และส่งผลให้หนี้สินครัวเรือน เพิ่มขึ้นเร็วมากกว่า 90% ของจีดีพี โดยรัฐบาลแก้ไขโดยสั่งการให้ควบคุมดอกเบี้ย ปรับโครงสร้างหนี้ แต่ที่แย่ไปกว่านี้ คือการเพิ่มโรงรับจำนำ ซึ่งตรงข้ามกับสิ่งที่ควรจะทำ เพราะจะทำให้ประชาชนเป็นหนี้เพิ่มขึ้น
ในเวลานี้การที่จะฟื้นเศรษฐกิจประเทศไทย ฟื้นฐานะความเป็นอยู่ และลดหนี้สินของประชาชน ต้องเร่งฉีดวัคซีนให้ทั่วถึง รวดเร็ว เลิกกู้เงินมาแจก เลิกสั่งหยุดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เพื่อให้คนไทยได้ทำงานมีรายได้.