"นักลงทุน" ทั้งหลายพร้อมหรือยัง?
ต้อนรับปีใหม่ 2564 ด้วยการพุ่งทะยานของ "บิตคอยน์" (Bitcoin) ที่ทำสถิติสูงเป็นประวัติการณ์ราคาพุ่งไปที่ 33,099 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 990,000 บาท (*อัตราแลกเปลี่ยน 29.91 บาท ณ 4 ม.ค.) บางช่วงแตะสูงถึง 1 ล้านบาท!!
หลังก่อนหน้านั้นค่อยๆ แตะระดับจนขึ้นไปสูงถึง 29,292 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 876,000 บาท และปิดท้ายปี 2563 ด้วยการทำสถิติตัวเลขสวยๆ ที่ 29,043 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 867,000 บาท ที่หากเทียบการเปลี่ยนแปลงรายเดือน มูลค่าบิตคอยน์ในเดือนธันวาคมก็เพิ่มขึ้นเกือบ 50% ทีเดียว ซึ่งมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2562
และหากเทียบทั้งปี บิตคอยน์ก็มีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า
นับได้ว่า "บิตคอยน์" เป็น "สกุลเงินดิจิทัล" ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ณ เวลานี้
จนมีการคาดการณ์กันว่า "บิตคอยน์" จะกลายเป็น safe haven หรือหลุมหลบภัยแห่งใหม่ของนักลงทุน ตีคู่กับ "ทองคำ"
บ่งชี้ได้ว่า ปี 2564 บิตคอยน์จะเข้ามามีบทบาทในโลกการเงินกระแสหลักมากขึ้นอย่างแน่นอน
ส่วนทิศทางจะเป็นอย่างไร?
และอนาคตจะแตะถึงระดับไหน?
ไปย้อนต้นตอสาเหตุการพุ่งทะยานครั้งนี้ก่อน...
...
:: "บิตคอยน์" หลุมหลบภัยแห่งใหม่ที่แสนเย้ายวน
หนึ่งในต้นตอสำคัญคงไม่หนีไปจาก "ทองคำ" สักเท่าไร นั่นคือ การแพร่ระบาด โควิด-19 (Covid-19) ที่ทำให้รัฐบาลแต่ละประเทศต้องประกาศล็อกดาวน์ ส่งผลต่อการเติบโต เป็นชนวนให้เกิดภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจทั่วโลก และธนาคารกลางต้องงัดมาตรการมาช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน
อย่างในสหรัฐอเมริกา ธนาคารกลาง หรือ "เฟด" (Fed) หั่นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นเกือบ 0% ทันที รวมถึงพิมพ์ธนบัตรมูลค่ากว่าล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้วยหวังว่าจะช่วยพยุงเศรษฐกิจไม่ให้ล้มครืนได้ พร้อมกันนี้ CARES ACT หรือบัญญัติกฎหมายประกันสุขภาพ ยังจ่ายเงินก้อนโตช่วยเหลือตลาดพันธบัตรและฟื้นชีพตลาดหุ้น
แน่นอนว่าเมื่อ "ตลาดหุ้น" กระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจนบอบช้ำ นักลงทุนก็ย่อมหาที่ใหม่ในการหลบภัย อันดับแรกคงหนีไม่พ้น "ทองคำ" ที่ปีที่ผ่านมาแตะทะยานทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ไปแล้วเช่นกัน และตัวเลือกใหม่ที่น่าสนใจก็คือ "บิตคอยน์"
โดยการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้น บรรดานักวิเคราะห์มองว่า "บิตคอยน์" มีโอกาสแตะถึง 318,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 9.5 ล้านบาท ภายในสิ้นปี 2564 นี้
เหมือนกับช่วงยุครุ่งเรืองของ "ตลาดทองคำ"
ที่ต้นทศวรรษ 1970 ราคาทองคำอยู่ที่ประมาณ 35 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ (*เทียบอัตราเงินเฟ้อ ~1,048 บาท) แต่ปัจจุบัน ราคาทองคำทะยานมากกว่า 1,900 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 57,000 บาท บางช่วงแตะถึง 2,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ในประเทศไทยก็แตะถึงราคา 30,000 บาท
เหตุผลง่ายๆ ที่ทำให้ "ราคาทะยาน" ขนาดนี้ นั่นก็เพราะว่า "มูลค่าทองคำ" เป็นเครื่องป้องกันความเสี่ยงภาวะเงินเฟ้อ (inflation hedge) ได้
เช่นกัน "บิตคอยน์" ก็กำลังอยู่ในบทบาทนั้นในทศวรรษนี้
กราฟราคาที่เหมือนกับเล่นเครื่องเล่นโรลเลอร์โคสเตอร์ แสดงให้เห็นว่า นักลงทุนหอบเงินไปหาที่นี่มากแค่ไหนในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ผ่านมา จนมีความเป็นไปได้ว่า ในอนาคต "บิตคอยน์" อาจแทนที่ "ทองคำ" แล้วกลายเป็น "หลุมหลบภัย" แห่งใหม่
ซึ่งปัจจุบัน บิตคอยน์ถูกเก็บรักษาไว้กว่า 350,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 11 ล้านล้านบาท ขณะที่ ทองคำมีการเก็บรักษามากกว่าล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งหากเทียบมูลค่ากันแล้ว บิตคอยน์ยังถือว่ามีขนาดเล็กนัก
แต่อย่างไรก็ตาม การเติบโตของ "บิตคอยน์" ยังเป็นทิศทางในเชิงบวกต่อเนื่อง และมีความเป็นไปได้ว่า บิตคอยน์มีโอกาสเติบโตมากกว่าทองคำ และต่อไปอาจดึงดูดเม็ดเงินก้อนโตจากบรรดานักลงทุนที่แสวงหาผลตอบแทนสูง
...
:: อนาคต "บิตคอยน์" พุ่งแรงปี 2564
เมื่อเดือนตุลาคม 2563 ยักษ์ใหญ่แห่งวงการชำระเงินออนไลน์ PayPal อนุญาตให้ลูกค้าซื้อ ถือครอง และขายคริปโตเคอร์เรนซี (cryptocurrency) ได้ รวมถึงบิตคอยน์ด้วย และยังอนุญาตให้ใช้บิตคอยน์ในการซื้อขายกับบรรดาธุรกิจต่างๆ มากกว่า 26 ล้านแห่ง
ขณะที่ ช่วงต้นปี 2563 บริษัท Fidelity ก็ได้ยื่นหนังสือต่อสำนักงานกรรมการกำกับหลักทรัพย์ (SEC) ในการเปิดกองทุนบิตคอยน์ใหม่ ที่ชื่อว่า Wise Origin Bitcoin Index Fund I ในส่วนนักลงทุนที่ไม่ใช่รายย่อยก็สามารถเข้าถึงบิตคอยน์และสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ ได้ โดยผ่าน Grayscale Investments ที่มีกองทุนเรือธงอย่าง Grayscale Bitcoin Trust ซึ่งจากข้อมูลของ Wall Street Journal พบว่า ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา สินทรัพย์ที่อยู่ภายใต้การจัดการของบริษัท พุ่งทะยานมากกว่า 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.2 แสนล้านบาท ถึง 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3 แสนล้านบาท
ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นถึงการเติบโตและบทบาทอันสำคัญของ "บิตคอยน์" และคริปโตเคอร์เรนซีอื่นๆ โดยจากการสำรวจพบว่า กว่า 36% ของผู้ลงทุนสถาบันในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ล้วนเป็นเจ้าของสกุลเงินดิจิทัล และอีก 60% เชื่อว่า สินทรัพย์ดิจิทัลจะเป็นหนึ่งในหลักทรัพย์การลงทุน
...
บ่งชี้ได้ว่า สกุลเงินเสมือจริงเหล่านี้อาจกลายเป็นสิ่งติดตรึงถาวรของโลกการเงินในเร็วๆ นี้
แต่ช้าก่อน!! แม้ "บิตคอยน์" จะลงเอยด้วยการแทนที่บทบาท "ทองคำ" แล้วกลายเป็น safe haven ใหม่ ก็ยังต้องระมัดระวังในการลงทุน
ดังนั้น นักลงทุนปกติทั่วไปควรก้าวอย่างนุ่มนวลกับกลุ่มสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง และอย่างน้อยก็ควรมีสินทรัพย์พื้นฐานสำรองไว้ เช่น กองทุนฉุกเฉินและกองทุนวัยเกษียณ.
ข่าวน่าสนใจ:
- เบื้องลึก "ราคาทอง" พุ่งนิวไฮ นักลงทุนผวา เข้า SAFE HAVEN
- "ราคาทองคำ" จะหยุดที่ตรงไหน เมื่อ SAFE HAVEN ถูกทุบ
- "หยวนดิจิทัล" GAME CHANGER ท้าชนยักษ์ใหญ่ ลดอำนาจผูกขาด "ดอลลาร์"
- เจาะความจริง "เกาหลีเหนือ" ที่ถูกซ่อนใน "สหายผู้กอง" Crash Landing on You
- ย้อนคำ "เศรษฐกิจไทยไม่แย่สุดในอาเซียน" จริงหรือหลอก เช็กตัวเลขปี 2563