“บิ๊กต่อ” เตรียมส่งภารกิจร้อนให้ ผบ.ตร.คนต่อไป หลังครบกำหนดเกษียณอายุราชการปลายเดือนนี้ "อดีตนายตำรวจ" มองศึกในกรมตำรวจ สะท้อนการปฏิรูปล้มเหลว ชี้ถึงเวลาที่ตำรวจต้องกู้ศรัทธาจากประชาชน

"ขอให้ข้าราชการตำรวจทุกนายพึงระลึกเสมอว่า การที่เราได้อาสามาเป็นตำรวจนั้น หน้าที่หลักคือการดูแลทุกข์สุขของประชาชน เสียสละอุทิศกายและใจให้กับการทำงาน เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุข สร้างความเชื่อมั่นและศรัทธาให้กับประชาชน โดยเฉพาะหน้าที่ที่สำคัญที่สุด คือการปกป้องและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ขอให้ตำรวจทุกนายได้ภาคภูมิใจในการปฏิบัติหน้าที่ ตามรอยพระยุคลบาทในฐานะข้าของแผ่นดิน" พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. คนที่ 14 กล่าวในพิธีสวนสนาม ตำรวจผู้เกษียณอายุราชการ เมื่อ 24 ก.ย.ที่ผ่านมา

การก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดของกรมตำรวจ "บิ๊กต่อ” มาแบบม้ามืด แทบหักปากกาเซียน แต่ตลอด 1 ปี ทำหน้าที่ ผบ.ตร. คนที่ 14 ก็ต้องเจอศึกภายในสีกากีอย่างหนัก โดยเฉพาะความบาดหมางกับ "บิ๊กโจ๊ก” สร้างแรงกระเพื่อมให้กับลูกน้องในวงการสีกากี จนอดีตนายกฯ "เศรษฐา" มีคำสั่งการให้ทั้งคู่ไปช่วยราชการที่สำนักนายกฯ ก่อนที่ "บิ๊กต่อ” จะกลับมานั่งเก้าอี้ ผบ.ตร.ตามเดิม แต่ก็เต็มไปด้วยรอยบอบช้ำ แม้ก่อนหน้านั้นจะกอดกันกลมในการแถลงข่าวกับ "บิ๊กโจ๊ก”

...

หากประเมินการทำงานของ "บิ๊กต่อ" ในตำแหน่งสูงสุด และภารกิจร้อนของ ผบ.ตร.คนใหม่ "พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร" เลขาธิการสถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม มองว่า ไม่ว่า ผบ.ตร. ในยุคสมัยใด ยังไม่มีกระบวนการแก้ปัญหาภายในของตำรวจ ในการทำงานเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง มีแต่นับวันปัญหาจะหนักมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องส่วย ที่เป็นต้นเหตุปัญหาอาชญากรรม และพนันออนไลน์

“ปัญหาการรับส่วย เรื้อรังจนนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่มองว่ากลายเป็นเรื่องปกติ เวลานี้วงการตำรวจมันแย่ถึงขนาดที่ประชาชนแจ้งจับตำรวจนอกรีตไม่ได้ เลยทำให้มีปรากฏการณ์ กันจอมพลัง และสายไหมต้องรอด ขึ้นมา เพื่อช่วยให้ผู้ที่ถูกกระทำได้รับความเป็นธรรมอย่างรวดเร็ว นั่นแสดงว่าประชาชนไม่เชื่อมั่นในการทำงานของตำรวจ ไม่ใช่ให้ประชาชนไปค้นหาโปรไฟล์ของตำรวจที่รับผิดชอบคดีว่า คนนี้มีผลงานที่เชื่อถือได้ ซึ่งนี่คือความวิบัติของวงการตำรวจ”

การปฏิรูปตำรวจ ที่ผ่านมายังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง ภาพสะท้อนที่เห็นได้ชัดเกิดจากความขัดแย้งภายในของตำรวจ ทั้งที่จริงแนวทางปฏิรูปตำรวจต้องเริ่มจาก เลิกลดการแต่งตั้งยศแบบทหาร ตำรวจต้องมีความคิดแบบพนักงานยุติธรรมโดยตำรวจต้องทำงานเหมือนกับเม็ดเลือดขาว ที่ตรวจจับสิ่งแปลกปลอมที่เกิดขึ้นในร่างกาย

การปฏิรูปตำรวจต้องเริ่มจากคัดเลือกคนท้องถิ่นเป็นหลัก เพื่อยึดโยงการทำงานกับชาวบ้านให้มากขึ้น และเป็นการทำงานที่รู้จักภูมิประเทศ เพราะทุกวันนี้คนที่ช่วยงานตาม สน.ได้ดีที่สุดคือ ตำรวจชั้นประทวน ที่อยู่มานาน รู้จักพื้นที่ รวมถึงกลุ่มคนที่จะก่อเหตุซ้ำ ดังนั้น การให้ตำรวจที่เป็นผู้ที่ทำงานในพื้นที่ ควรมีการสร้างความก้าวหน้าให้กับอาชีพ และควรเลิกระบบตำรวจชั้นประทวนและชั้นสัญญาบัตร เพื่อให้ตำรวจทุกคนมีความเท่าเทียม มีโอกาสก้าวหน้าในอาชีพ หากสามารถสอบเลื่อนขั้นได้

สิ่งที่อยากฝากถึง ผบ.ตร.คนต่อไป ให้เร่งจัดการเรื่องส่วย สิ่งผิดกฎหมาย ที่ในวงการมองเป็นเรื่องปกติ โดยต้องมีกรอบระยะเวลาการทำงาน และตัวชี้วัดที่เห็นผล ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ตำรวจในการปฏิบัติงานให้เข้มข้นมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาเห็นได้ชัดว่าการปฏิรูปตำรวจล้มเหลว ดังนั้น ผบ.ตร.คนที่ 15 สิ่งแรกที่ต้องทำคือ การกู้ศรัทธาจากประชาชนให้ได้ แล้วค่อยไปปรับเปลี่ยนการทำงานด้านอื่นต่อ

จากข้อมูลพบว่า หากประเมิน 3 ตัวเต็งที่มีโอกาสชิง ผบ.ตร.รอบนี้ ประกอบด้วย 1.พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. 2.พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. 3.พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง จตช. แต่จนถึงตอนนี้ นายกฯ แพทองธาร ยังไม่ได้มีการนัดประชุมกับ ก.ตร. เพื่อคัดเลือก ผบ.ตร.คนใหม่ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเห็นชัดเจนหลังวันที่ 3 ต.ค.67.

...