คุยกับ 'อ.ชวลิต ดวงอุทา' ผู้ออกแบบ Art Toys ไก่ชน จากวันที่ไม่มีคนสนใจ จนน้องไก่ได้ไปอยู่ญี่ปุ่น พร้อมเปิดแนวคิด "เล่าเรื่องให้เป็น" จุดสำคัญของการรังสรรค์และต่อยอดผลงาน...  

เมื่อกระแสงาน อาร์ตทอยส์ (Art Toys) เริ่มขยายวงกว้าง จนเดินทางไปถึงเมืองสองแคว ทำให้ 'ผศ.ดร.ชวลิต ดวงอุทา' อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ศิลปะและการออกแบบ สาขาออกแบบสื่อนวัตกรรม มหาวิทยาลัยนเรศวร ลองลุกขึ้นมาทำอาร์ตทอยส์ โดยหวังจะใช้เป็นสื่อการสอน และถ่ายทอดเรื่องราวของเมืองพิษณุโลก ผ่านรูปลักษณ์ที่เข้าถึงง่าย 

หนึ่งในเรื่องราวของดีแห่งพิษณุโลก ที่ ผศ.ดร.ชวลิต หยิบยกมาเล่า ก็คือ 'ไก่ชนพันธุ์เหลืองหางขาว' ที่มีชื่อปรากฏในพงศาวดาร เกี่ยวข้องกับบุคลสำคัญของเมือง นั่นก็คือ 'สมเด็จพระนเรศวรมหาราช' เนื่องจากช่วงที่พระองค์ทรงพำนักอยู่ในกรุงหงสาวดี ทรงนำไก่เหลืองหางขาวไปจากเมืองพิษณุโลก ด้วยลักษณะที่เฉลียวฉลาด และมีสัญชาตินักสู้ ทำให้ไก่ของพระองค์ดำ ชนชนะไก่ของพระมหาอุปราชา จนได้รับสมญานามว่า 'เหลืองหางขาว ไก่เจ้าเลี้ยง'

...

แม้น้องไก่ชนจะสร้างความฮือฮาในโลกออนไลน์ได้ แต่ก็มีคนตั้งคำถามขึ้นมาว่า "เรื่องราวที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ จะไปได้ไกลแค่ไหน?" ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จึงต่อสายตรงพูดคุยกับ ผศ.ดร.ชวลิต ถึงแนวคิดของการสร้างสรรค์ผลงาน พร้อมทั้งแผนต่อยอดในอนาคต ที่จะทำให้คนยังรู้จัก 'Art Toys ไก่ชน' 

ผศ.ดร.ชวลิต ดวงอุทา
ผศ.ดร.ชวลิต ดวงอุทา

บทสัมภาษณ์ที่ถูกเรียบเรียงต่อจากนี้ 'น่าจะ' เป็นคำตอบ ที่ช่วยคลายความสงสัยของคำถามนั้นได้…

อาร์ตทอยส์ไก่ชน จุดเริ่มต้นเพื่อการศึกษา : 

หลังจากการลาพักเพื่อไปศึกษาต่อ ผศ.ดร.ชวลิต ได้กลับมาสอนเรื่องการออกแบบตัวละคร (Character Design) และการปั้นโมเดล 3 มิติ ให้นิสิต ม.นเรศวร อีกครั้ง แต่ช่วงที่เตรียมการสอนก็คิดอยู่ตลอดว่า "นิสิตปัจจุบันน่าจะสนใจเรื่องอะไร?"

อาจารย์เล่าว่า ปกติแล้วการเรียนการสอน จะเริ่มจากให้นิสิตปั้นดินโพลิเมอร์ เพื่อให้เรียนรู้การปั้น การออกแบบ และองค์ประกอบเบื้องต้น ก่อนที่จะเข้าสู่การปั้นโมเดล 3 มิติ แต่ก็เกิดคำถามกับตัวเองอีกครั้งว่า "ปั้นงานเสร็จแล้วจะทำอะไรต่อ?"

"พอมีเวลา… ผมก็พาตัวเองออกไปเติมประสบการณ์ ความรู้ จากด้านนอก ทำให้พบว่าประมาณ 2-3 ปีที่ผ่านมา กระแสของ 'อาร์ตทอยส์' เริ่มมีมากขึ้น ก็เลยรู้สึกสนใจเรื่องนี้ คิดว่าน่าจะพัฒนาต่อยอดได้ เลยตัดสินใจสอน และทำงานวิจัยศึกษาการทำอาร์ตทอยส์ไปพร้อมกัน"

ผศ.ดร.ชวลิต กล่าวต่อว่า เริ่มสอนนิสิตจากการกระบวนการคิดงาน ออกแบบตัวละคร และสอดแทรกเนื้อหาการทำอาร์ตทอยส์เข้าไปด้วย จึงเป็นที่มาของการฝึกปั้น ไปสู่การทำโมเดล 3 มิติ และกลายเป็นงานอาร์ตทอยส์ในที่สุด

...

ตลอดการสนทนา อาจารย์กล่าวบ่อยครั้งว่า "ผมทำงานอาร์ตทอยส์นี้ขึ้นมาเพื่อการศึกษา" โดยให้เหตุผลที่พูดเช่นนั้นว่า เพราะผมใช้งานของตัวเองเป็นต้นแบบในการสอน แล้วให้ผู้เรียนที่สนใจออกแบบตัวละครเพื่อไปประกวด ถ้าเขาชนะ… เขาก็อยากจะพัฒนางานไปด้วย ส่วนผมก็เป็นเบื้องหลังคอยผลักดัน

ช่วงแรกการตอบรับไม่ดี ทำให้ต้องเปลี่ยนวิธีเล่าเรื่อง : 

ช่วงที่อาจารย์ชวลิตเริ่มศึกษา และลองทำงานอาร์ตทอยส์ อาจารย์ได้ออกแบบโมเดล 3 มิติ จำนวน 3 โมเดล ซึ่งเกี่ยวข้องกับพระนเรศวรทั้งหมด ได้แก่ พระนเรศวร ช้าง และไก่ชน อย่างไรก็ตาม อ.ชวลิต บอกว่า ตอนเริ่มทำครั้งแรก ผมทำเสมือนจริงเลย พอเอาไปเข้ากลุ่มอาร์ตทอยส์ ผลออกมาว่าไม่มีคนสนใจ งานผมเข้าไม่ถึงคนกลุ่มนี้  จึงเริ่มค้นหาคำตอบว่าเป็นเพราะอะไร?

เมื่อพยายามหาเหตุผล ก็ทำให้อาจารย์พบว่า... 

"งานของผมไม่มีอะไรน่าดึงดูด และไม่แตกต่างจากงานที่เคยเห็น เพราะแบบที่ผมทำมันคืองานเสมือนจริง ถ้าคนอยากดู เขาไปดูไก่ตามซุ้มไก่ชน หรือไปดูรูปหล่อพระนเรศวร หาข้อมูลอ่านจากอินเทอร์เน็ตเอาก็ได้ ผมเลยคิดว่าถ้าจะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ ต้องเปลี่ยนวิธีการเล่าเรื่อง"

...

ผศ.ดร.ชวลิต ได้เปลี่ยนรูปลักษณ์ชิ้นงาน ให้เป็นการ์ตูนมากขึ้น ใช้ความน่ารักดึงให้คนเข้าถึงผลงาน ซึ่งเป็นการเพิ่มกลุ่มเป้าหมายไปในตัวด้วย โดยไก่ชนเป็นตัวแรกที่ทำออกมา เสียงตอบรับค่อนข้างดี และประมาณปลายปีที่แล้วมีรุ่นพี่ที่รู้จักมาทำข่าว เลยกลายเป็นกระแสขึ้นมา 

"การเปลี่ยนวิธีเล่าเรื่อง ทำให้คนเข้าถึงง่ายขึ้น แต่จุดประสงค์ที่ต้องการสื่อสารประวัติศาสตร์ยังอยู่ เพราะเมื่อคนสนใจแล้วตามงานอาร์ตทอยส์ เขาก็อาจจะไปหาประวัติไก่อ่านเพิ่ม ก็เหมือนกับเป็นการโปรโมตจังหวัดไปในตัว"

หลังจากอาจารย์แก้เกมได้สำเร็จในขั้นต้น จนเจ้าไก่ชนเริ่มกลายเป็นที่รู้จัก ทางด้านนิสิตก็พัฒนาฝีมือออกมาได้ไม่แพ้กัน เพราะหลังจากที่ ผศ.ดร.ชวลิต นำผลงานนิสิตไปโพสต์ตามกลุ่มต่างๆ กระแสตอบรับก็ดีไม่น้อย ผู้สอนจึงเริ่มพาเจ้าของชิ้นงานออกเดินทางประกวด โดยได้พาน้องไก่ชนไปด้วยในทุกๆ ที่ ประหนึ่งแขกรับเชิญของทุกงาน

...

เล่าเรื่องให้เป็น สร้างมูลค่า-เพิ่มความน่าสนใจ : 

ทีมข่าวฯ สอบถามอาจารย์ว่า เมื่อคาแรกเตอร์หลักคือ 'ไก่ชน' ที่คนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องราวประวัติศาสตร์อันน่าเบื่อ จะมีวิธีดึงดูดคนให้สนใจอย่างไรบ้าง?

ผศ.ดร.ชวลิต ตอบว่า "เล่าเรื่องให้เป็นสำคัญที่สุด"

"อิงจากประสบการณ์ ตอนที่เปลี่ยนจากเสมือนจริงเป็นการ์ตูน เด็กเข้ามาชมมากขึ้น แล้วกลุ่มที่เป็นนักสะสมก็มามากขึ้น แสดงให้เห็นว่า การเลือกวิธีเล่าสำคัญมาก และแม้รูปแบบของไก่จะเปลี่ยนไป แต่ก็ยังมีการ์ตูนเป็นจุดเชื่อมไปสู่ประวัติศาสตร์"

ผู้ออกแบบอาร์ตทอยส์ไก่ชน เผยตัวอย่างวิธีเล่าเรื่องให้เราฟังว่า มีอาร์ตทอยส์ไก่ชนรุ่นนึงที่เรียกว่า 'ไก่มู' ซึ่งเกิดจากตอนที่ได้มีโอกาสคุยกับคนในวงการพระเครื่อง เขาบอกว่า ไก่คือการจิกเงินจิกทอง สายมูจะบูชาไก่เพราะรู้สึกถึงความมั่งคั่ง พอผมรู้ว่ามีมุมนั้น ก็เลยผลิต ไก่เงิน และ ไก่ทอง เป็นตัวเล็กๆ ให้คนนำไปบูชาพระนเรศวร ซึ่งผลิตจำนวน 39 คู่ ตามความเชื่อของเลขมงคลด้วย

"หรืออย่างตอนผลิตช้างพระนเรศวร เราก็ผลิตตัวใหญ่ (พลายภูเขาทอง) และตัวเล็ก (พลายสีเผือก) อย่างละ 18 ตัว เพราะวันกองทัพไทยตรงกับวันที่ 18 มกราคม ซึ่งเป็นวันที่ระลึกถึงวาระที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงกระทำยุทธหัตถีกับมังสามเกียด"

อาจารย์ชวลิต ยกตัวอย่างอีกหนึ่งผลงาน คือ 'พระพิฆเนศ'

"ผมกับลูกศิษย์ได้ทำพระพิฆเนศองค์เล็กขึ้นมา เพราะลูกศิษย์ไปขอพระพิฆเนศไว้ว่า ถ้ามียอดขายดีจะทำอาร์ตทอยส์ท่านมาไหว้ พอยอดขายดีตามเป้า พวกเราเลยผลิตแล้วโพสต์ลงเพจด้วย ทำให้ มีคนทักมาเพื่อจะขอบูชา เราก็เลยได้ต่อยอดไปในตัว"

"ซึ่งการจัดทำองค์พระพิฆเนศ เราก็ใช้ผงธูปในการผลิตด้วย และผลิต 3 สี สีละ 8 องค์ เพราะถือว่าเป็นเลขที่สัญลักษณ์เหมือนอินฟินิตี้ (Infinity : อนันต์) ทั้งสองอย่างก็เป็นวิธีการเล่าเรื่อง"

ทำให้เป็นสินค้าที่ไม่ได้หาซื้อง่ายๆ : 

จากวิธีการเล่าข้างต้น ทำให้ผลงานเหล่านั้นกลายเป็นของ 'ลิมิเต็ด' ไปในตัว ซึ่งนี่ก็ตรงกับความตั้งใจของ ผศ.ดร.ชวลิต…

อาจารย์กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของผม ไม่ได้อยากให้เป็นของที่หาซื้อที่ไหนก็ได้ ดังนั้นจะมีการจอง และผลิตตามจำนวนที่เปิดรับ อย่างรอบเปิดตัวไก่ก็มีแค่ 9 ตัว พอหมดแล้วจะไม่ผลิตอีก แต่จะปรับรูปแบบการเล่าอย่างอื่น ทำให้ไก่มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น 

ผศ.ดร.ชวลิต บอกว่า ที่ผ่านมาไม่ได้คิดทำแค่ไก่พระนเรศวร แต่พยายามสร้างสรรค์ไก่ชนในรูปแบบอื่นๆ หรืออิงตามเทศกาล เพื่อเพิ่มลูกเล่นและความน่าสนใจ ทำให้อาร์ตทอยส์ไก่ชนดูเข้าถึงได้ง่ายมากกว่าเดิมไปอีก

"ผมพยายามเปลี่ยนแบบไปเรื่อยๆ อย่างที่ผมเคยทำงานร่วมกับนิสิต ก็เป็นไก่ชนไซเบอร์ พองานนั้นออกมาก็มีคนสนใจ เริ่มมียอดสั่งทยอยเข้ามา ส่วนช่วงคริสต์มาส ก็ลองทำไก่คริสต์มาส เป็นลิมิเต็ดที่มีขายแค่ช่วงนั้นเพียง 9 ตัว"

นอกจากนั้นอาจารย์ยังบอกว่า ไก่ของเราเป็นเนื้อเรซิ่นปรินต์จากเครื่องพิมพ์ 3 มิติ แล้วมาถอดประกอบ ดังนั้น สามารถเพิ่มของเข้าไปได้อีก จากที่ฟังคอมเมนต์ คนที่ซื้อไปก็มาถามต่อว่า จะมีชิ้นส่วนอื่นๆ ทำแยกอีกไหม เช่น ให้ไก่มีเกาะเป็นเหมือนนักรบ ซึ่งเป็นการเพิ่มความน่าสนใจของประวัติศาสตร์เข้าไปอีก

แผนต่อยอดผลงานสู่การสร้างรายได้รูปแบบอื่น : 

ผศ.ดร.ชวลิต เผยกับทีมข่าวฯ ว่า อาร์ตทอยส์เป็นงานที่ราคาสูงกว่าปกติ ทำให้คนบางกลุ่มเข้าไม่ถึง นอกจากนั้น นิสิตที่ช่วยงานบางคนไม่ได้อยากไปทำงานในกรุงเทพฯ ทำให้เริ่มคิดว่า จะต่อยอดผลงานนอกเหนือจากอาร์ตทอยส์อย่างไร ที่อาจจะนำไปสู่การสร้างอาชีพเพิ่มให้กับนิสิต และให้คนทุกกลุ่มเข้าถึงงานได้ 

"จึงได้เกิดแนวคิดว่า อยากทำอาร์ตทอยส์ไก่ชนให้เป็นที่รู้จักก่อน หลังจากนั้นนำรูปแบบ 'ไก่ชน' จากผลงาน ต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น แม่พิมพ์ขนม ลายเสื้อยืด เพื่อให้คนเข้าถึงผลงานได้ง่ายขึ้น และเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าอีกด้วย"

อ.ชวลิต กล่าวต่อว่า อย่างบ้านของลูกศิษย์เขาทำขนมขาย ก็เลยลองเรียกมาคุย และคิดกันว่าจะเริ่มต้นจากการทำวุ้น แล้วปรับโมเดลสามมิติเป็นนูนต่ำเพื่อทำแม่พิมพ์ สิ่งนี้จะทำให้คนที่ชื่นชอบแบบไก่ชน สามารถเข้าถึงสินค้าได้ ในราคาที่ย่อมเยา ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการทดสอบขนม 

ซึ่งถ้าทำได้จริง ผมก็จะสั่งขนมจากบ้านนิสิต โดยให้ทำจากแม่พิมพ์ของเรา หลังจากนั้นเอามาติดฉลากไปขายต่อ หรือในอนาคตถ้าผู้ค้าคนอื่นๆ ต้องการแบบ เราก็ยินดีที่จะส่งให้

"สิ่งที่คิดจะทำ ไม่ได้คิดว่าจะช่วยนิสิตอย่างเดียว แต่คิดว่าน่าจะช่วยพัฒนาชุมชนได้ และนี่จะถือเป็นการเล่าเรื่องไก่ของพิษณุโลกไปในตัวด้วย" ผศ.ดร.ชวลิต กล่าวกับเรา

มองอนาคตอาร์ตทอยส์ไก่ชน และอาร์ตทอยส์ไทย : 

เราถามอาจารย์ว่า มีเป้าหมายจะขยายเป็นธุรกิจเต็มตัวหรือไม่?

อ.ชวลิต ตอบว่า มีความคิดอยู่บ้างที่อยากจะทำเป็นธุรกิจ แต่ยังไม่มีแผนชัดเจนในเรื่องการตลาด เพราะผมเป็นสายนักออกแบบ แต่ก็มีการไปถามอยู่เรื่อยๆ ว่าสามารถไปทางไหนได้ เหมือนอยู่ในช่วงของการศึกษาเรื่องนี้

"อย่างไรก็ตาม จุดเริ่มต้นของผลงานนี้เพื่อการสอน และตอนนี้ยังมีบทบาทเป็นอาจารย์ เลยโฟกัสเรื่องของการสอนมากกว่า ยังอยากสอนองค์ความรู้นี้ให้นิสิตที่สนใจ ส่วนแผนที่จะเป็นธุรกิจ คงค่อยๆ โตตามแรงที่เรามี เพราะไก่และพิษณุโลกยังมีมุมเล่าอีกเยอะ หรือไม่… คนที่จะพาไก่ชนต่อยอดไปสู่ธุรกิจอาร์ตทอยส์ได้ อาจจะเป็นลูกศิษย์ของผม"

จากจุดเริ่มต้นที่ไร้คนสนใจ จนกระทั่ง ตอนนี้ Art Toys ไก่ชน ได้เริ่มโกอินเตอร์ไปอยู่ญี่ปุ่น เพราะความคาวาอิของผลงาน ถูกตาต้องใจ ศาสตราจารย์ มาโกโตะ วาตานาเบะ (Prof. Makoto Watanabe) รองประธานฝ่ายการศึกษา นักศึกษา และวิเทศสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยชิบะ ประเทศญี่ปุ่น ทำให้อาจารย์ชวลิตและลูกศิษย์ รู้สึกดีใจและภูมิใจไปพร้อมกัน เพราะถือเป็นอีกก้าวที่สำคัญของพวกเขา

Prof. Makoto Watanabe, Vice President for Education, Student and International Affairs  Chiba University Japan
Prof. Makoto Watanabe, Vice President for Education, Student and International Affairs Chiba University Japan

ผศ.ดร.ชวลิต ดวงอุทา แสดงความคิดเห็นส่งท้ายว่า ตอนนี้มีรุ่นพี่ๆ หรือศิลปินของไทย เริ่มผลิตผลงานออกมาเรื่อยๆ แต่ตลาดอาร์ตทอยส์ยังเข้าไม่ถึงต่างจังหวัดมากนัก อยากให้มีการจัดงานกระจายสู่ภูมิภาค หากเรื่องนี้ได้รับการส่งเสริม คนน่าจะเข้าถึงตลาดเหล่านี้ได้มากขึ้น และน่าจะทำให้ตลาดงานอาร์ตไทยโตขึ้นด้วย

ใครที่อยากครอบครองน้อง 'ไก่ชน' สามารถติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่เพจ TWIN Studio ทีมข่าวฯ บอกได้เลยว่า... ของดีมีน้อยแบบนี้ ช้าหมด อดเป็นเจ้าของ

ภาพ : ชวลิต ดวงอุทา - TWIN Studio 


อ่านบทความที่น่าสนใจ :