ผกก.สน.พระราชวัง ส่งตำรวจดูแลร้าน "Atongshop" ทุก 2 ชั่วโมง พร้อมออกหมายเรียก "คู่กรณี" รับทราบข้อหา 15 ส.ค.

เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2566 เพจเฟซบุ๊ก ได้โพสต์คลิปพร้อมข้อความอธิบายว่า ‘ร้านของเราถูกข่มขู่ คุกคาม จากพ่อค้าอันธพาลในห้างค่ะ’ คลิปดังกล่าวถูกแชร์ออกไปมากกว่าหนึ่งหมื่นครั้ง และมีการแสดงความคิดเห็นใต้คลิปอีกมาก จนเกิดเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจ

ต้นเรื่องเหตุการณ์ดังกล่าว เกิดจากเมื่อกลางปี 2565 เมื่อคู่กรณีของทางร้าน "Atongshop" ได้ร้องขอให้ทางร้าน รับลูกน้องของตนทำงานที่ร้าน แต่หลังจากรับทำงานแล้ว ลูกน้องนั้นมีพฤติกรรมชอบสูบบุหรี่ ทางร้านตักเตือนก็ไม่ฟัง นอกจากนั้นยังขาด ลา และมาสายบ่อย จึงทำให้ทางร้านตัดสินใจเลิกจ้าง

แต่ทางฝ่ายคู่กรณีกลับมองว่า เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จึงร้องทางร้านจ่ายเงินชดเชยให้กับลูกน้องตน เดือนละ 15,000 บาท เป็นเวลา 1 ปี โดยให้ลูกน้องช่วยงานในร้าน แต่ไม่ใช่ในฐานะ “พนักงาน”

อย่างไรก็ดี แม้ที่ผ่านมา ลูกน้องของคู่กรณีจะรับเงินกับทางร้านมาตลอดเป็นเวลาถึง 7 เดือน แต่ลูกน้องคู่กรณีก็ไม่เคยให้ความช่วยเหลือใดๆ กับทางร้านเลย และแม้ครั้งหนึ่งทางร้านจะพยายามร้องขอไปเรียนขับรถ เพื่อหวังจะให้มาช่วยงาน โดยยินดีจะออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด แต่ก็ยังคงถูก “ปฏิเสธ”

และเมื่อทางร้าน "Atongshop" ขาดสภาพคล่อง จึงขอเลื่อนจ่ายเงิน แต่ทางฝ่ายคู่กรณีกลับไม่ยอม และพยายามตามทวงเงินอยู่ตลอด กระทั่งวันที่ 27 มิถุนายน 2566 คู่กรณีและลูกน้อง จึงขึ้นมาพบกับ “หุ้นส่วนร้าน” จนกระทั่งทั้งสองฝ่ายเกิดมีปากเสียงกัน และเกิดเหตุการณ์ตามคลิปที่ทางร้านโพสต์ไปก่อนหน้านี้

...

หลังจากเรื่องนี้เป็นประเด็นขึ้นมา ทำให้วันที่ 7 สิงหาคม 2566 ทางห้างเจ้าของสถานที่ จึงได้ออกประกาศ ห้ามไม่ให้ฝ่ายคู่กรณีของร้าน "Atongshop" เข้าพื้นที่โดยเด็ดขาด และยังได้ประสานงานกับสถานีตำรวจนครบาลพระราชวัง เพื่อขอความร่วมมือในการเข้ามาดูแลความปลอดภัยด้วย

อย่างไรก็ดี ในเวลาต่อมา ทางฝ่ายคู่กรณีของร้าน "Atongshop" ได้ให้สัมภาษณ์กับ "ไทยรัฐทีวี" เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2566 โดยระบุว่า...

“จะไม่ออกมาแก้ตัวหรือพูดอะไร เพราะสังคมได้ตัดสินในประเด็นนี้ไปแล้ว ใครจะมองอย่างไรคงไม่สามารถห้ามได้ พร้อมกับอ้างว่า ฝ่ายตนถูกคุกคามก่อน ไม่ว่าจะเป็นการส่งคนมาที่ร้าน รวมถึงให้คนโทรศัพท์มาข่มขู่ด้วย และปัญหาที่บานปลายมาจนถึงขนาดนี้ ก็เป็นเพราะการกระทำของอีกฝ่าย”

สำหรับความคืบหน้าในเรื่องนี้ หลัง “ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์” ลงพื้นที่พบว่า ระหว่างที่ทีมงานกำลังขึ้นบันไดเลื่อนไปชั้น 6 ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้าน "Atongshop" เมื่อผ่านทางขึ้นชั้น 3 ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านคู่กรณี จากการสังเกตเบื้องต้น พบว่าภายในร้านค่อนข้างเงียบเหงา มีเพียงพนักงานขายหญิง 1 คน และลูกค้าอีก 1 คน ที่กำลังเลือกชมสินค้าเท่านั้น

แต่เมื่อเดินถึงชั้น 6 พบว่า บรรยากาศภายในร้าน "Atongshop" มีผู้คนเข้ามาเลือกซื้อสินค้าอย่างแน่นขนัด และเมื่อได้ติดต่อเพื่อขอสัมภาษณ์ “อาร์ต” หนึ่งในพนักงานของทางร้าน และเคยอยู่ร่วมในเหตุการณ์ความขัดแย้งก่อนหน้านี้ จึงได้บอกเล่ากับเราว่า...

“สถานการณ์ปัจจุบันค่อนข้างปกติดีครับ เพราะคู่กรณียังเข้าตึกไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน เมื่อวาน (8 สิงหาคม 2566) ทราบว่าเขามาโวยวายหน้าตึกแต่ก็เข้าไม่ได้”

โดย “อาร์ต” ซึ่งมีแววตาและพูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเป็นกังวล บอกเล่ากับเราต่อไปว่า เหตุการณ์ในพื้นที่ห้างไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่หลังจากก้าวเท้าออกจากที่นี่ ส่วนตัวยังรู้สึกกังวลและหวาดระแวงอยู่

“มีความกังวลครับ เพราะมีเหตุการณ์แบบนี้หลายรอบ ส่งคนนอกมา ส่งคนมาก่อกวน มาข่มขู่ เพราะว่าจากผู้เสียหายที่เขาส่งข้อมูลมาให้ เขาก็บอกว่าจะถูกตามรังควานไม่เลิก ตอนนี้อาจแค่รอให้เรื่องเงียบ เรื่องซาลงเท่านั้น”

...

สำหรับความปลอดภัยที่ได้รับการดูแลจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ และ รปภ.ของทางห้างในเวลานี้ ถือเป็นสิ่งที่ทำให้ทีมงานทุกคนรู้สึกสบายใจได้บ้าง “แต่ก็ยังไม่ได้ทำให้รู้สึกหมดกังวลแต่อย่างใด”

“ตอนนี้ตำรวจจะเข้ามาตรวจพื้นที่ทุกๆ 2 ชั่วโมง ถ้าจะออกจากตึก พี่ รปภ. จะเดินไปส่งถึงหน้าตึก แต่ถ้าออกจากบริเวณตึก เราก็ต้องรับผิดชอบตัวเอง ทำให้มีความกังวล ความระแวงอยู่ เพราะตอนนี้ทางคู่กรณี เขารู้ที่อยู่ของโกดัง ที่มีเหตุการณ์ปาขวด (6 สิงหาคม 2566) ซึ่งไม่เคยมีแบบนี้มาก่อน”

เมื่อเราถามว่า เคยพบประสบการณ์การถูกคุกคามจากคู่กรณีมาแล้วมากน้อยแค่ไหน? “อาร์ต” ซึ่งยังคงมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล จึงได้บอกเล่าเพิ่มเติมว่า...

“เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2566 ผมลงไปรับของด้านล่าง ฝ่ายคู่กรณีได้บังคับพนักงานส่งสินค้าเพื่อขอถ่ายที่อยู่ แล้วก็เตะกล่อง หลังจากเตะกล่องแล้ว เขาให้ขนของต่อ แต่ผมยังเอาของไม่เสร็จ ของอีก 2 ถุงอยู่ข้างนอก พนักงานเขากลัว เขาเลยทิ้งของไว้ ผมจะออกจากตึกไปเอาสินค้าก็ไม่ได้ เพราะถ้าออกมาเขาขู่ว่าจะเล่นงาน อีกทั้งตอนที่อยู่ในลิฟต์ เขาก็พยายามพูดจาข่มขู่ผมด้วย แต่เสียดายที่ไม่ได้อัดเสียงไว้

ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่า เซ็ง เซ็งมาก และยิ่งเซ็งไปใหญ่ เมื่อพนักงานขนส่งสินค้าคนนั้นไม่กล้าไปเป็นพยานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในตอนที่เราพากันไปแจ้งความกับทาง สน.พระราชวัง แต่ก็นั่นแหละ คงไม่มีใครอยากจะเอาตัวเองเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้

...

เมื่อสอบถามเกี่ยวกับความคืบหน้าของคดี “อาร์ต” บอกเล่าต่อไปว่า “เมื่อเช้าตำรวจเข้ามาบอกว่าออกหมายเรียกไปแล้ว ถ้ารอบสองยังไม่มา รอบสามจะเป็นหมายจับ ตอนนี้ทางตี้ให้ปากคำและหลักฐานเพิ่ม และศุกร์นี้ (11 สิงหาคม 2566) เหมือนจะมาที่เกิดเหตุด้วยอีกรอบนึง”

สำหรับ เรื่องที่คู่กรณีอ้างว่า เป็นฝ่ายที่ถูกทางร้านข่มขู่ก่อนนั้น “อาร์ต” ถอนหายใจก่อนที่จะตอบคำถามนี้ว่า...

“อันนี้ผมขอพูดกลางๆ นะพี่ ดูจากการพูด ท่าทางตอนให้สัมภาษณ์ พี่ตงเขาเหนื่อยมาเยอะมาก มีแต่คนบอกว่าทำไมต้องยอมขนาดนั้น ก็เพราะเขาไม่อยากให้พนักงานที่ร้านเกิดอันตราย เขาเป็นห่วงสวัสดิภาพมากๆ ถ้าจะทำอะไรให้มาทำเขาดีกว่า เพราะน้องที่ร้านส่วนใหญ่ก็เป็นผู้หญิง พี่ตงจะจ้างนักเลงไปข่มขู่เพื่ออะไร เขาแค่ขอว่าอย่ามายุ่งกันอีก แต่สุดท้ายก็ยังถูกตามรังควาน”

ตอนแรกเหมือนว่าบทสนทนาระหว่างกับอาร์ตจะจบลงเพียงเท่านี้ ทีมงานจึงได้เดินเข้าไปในร้านกับอาร์ต เพื่อหวังจะชวนพูดคุยถึงเรื่องของเล่นเพื่อให้อารมณ์ผ่อนคลายลง แต่ “อาร์ต” กลับบอกว่า ในเวลานี้พนักงานที่ร้านทุกคน แค่อยากมาทำงานด้วยความสบายใจ แต่ตอนนี้รู้สึกไม่ดี และคิดว่ายังไงเรื่องก็น่าจะยังไม่จบง่ายๆ

“ทุกคนบอกเหมือนกันว่าคงไม่จบง่ายๆ อาจจะรอให้เรื่องซาลงก่อน เพราะคู่กรณีบอกคนอื่นว่าไม่ใช่มาเฟีย แต่กลับแสดงพฤติกรรมตะโกนด่าข่มขู่ ผมแค่อยากมาทำงานอย่างสบายใจ แต่ตอนนี้เวลากลับบ้านรู้สึกไม่สบายใจเอามากๆ”

...

เมื่อทีมข่าวฯ พยายามสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมในประเด็นที่ว่า เป็นเรื่องจริงมากน้อยแค่ไหนที่คู่กรณีมีปัญหากับร้านค้าอื่นๆ ด้วย “อาร์ต” ตอบเราเพียงสั้นๆ ว่า “ทุกคนออกไปหมดแล้ว ไม่มีใครอยู่ที่นี่แล้ว”

เมื่อการสนทนาจบลง ขณะกำลังเดินออกจากร้าน "ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์" พบเห็นตำรวจ 3 นาย เดินมาตรวจสอบบริเวณหน้าร้านพอดี และเห็น รปภ. 1 คน เดินเข้ามาถ่ายรูปตำรวจด้วย

ทั้งนี้ เมื่อทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้โทรศัพท์ไปสอบถามกับ "พ.ต.อ.นภัสพงษ์ โฆษิตสุริยมณี" ผกก.สน.พระราชวัง ได้รับทราบความคืบหน้าว่า...

“เบื้องต้นอาจจะมีการตั้งข้อหาข่มขู่ กับทางสองคู่กรณีของร้าน Atongshop ไม่ว่าจะเป็นการพูดจาข่มขู่กับทางร้านและเหล่ายูทูบเบอร์ ส่วนกรณีเหยียบกล่องก็อาจเข้าข่ายทำให้เสียทรัพย์ ส่วนเรื่องการให้จ่ายเงินเดือน 15,000 นั้น ถ้าเป็นการบังคับให้จ่าย ก็อาจจะเข้าข่ายกรรโชกทรัพย์ อย่างไรก็ดีคงต้องรอทางผู้เสียหาย และผู้ถูกกล่าวหาซึ่งได้รับหมายเรียกไปแล้ว จะเข้ามาให้ข้อมูลเพิ่มเติมในวันที่ 15 ส.ค.นี้”

ส่วนในเรื่องการดูแลความปลอดภัยให้กับผู้เสียหายนั้น ผกก.สน.พระราชวัง กล่าวกับทีมข่าวฯ ว่า...“ทางตำรวจจะขึ้นไปตรวจทุกๆ 2 ชั่วโมง โดยมีฝ่ายป้องกันปราบปราม มีสายตรวจขึ้นไปดู และมีฝ่ายสืบสวนนอกเครื่องแบบคอยเดินดูด้วย นอกจากนี้ยังได้หาพูดคุยกับบรรดา รปภ. ของทางห้างแล้ว ว่าในแต่ละวันควรจัดให้มีเจ้าหน้าที่ 8 คน คอยดูแลในแต่ละจุด คือ ด้านล่างบริเวณประตูทางเข้า 4 คน, ชั้น 3 คอยดูแล 1 คน, ชั้น 6 อีก 1 คน, ลานจอดรถชั้น 8 อีก 1 คน และให้จัดหัวหน้า รปภ.เดินตรวจอีก 1 คน”

ด้านความคืบหน้าเรื่องคำสั่งห้ามคู่กรณีของผู้เสียหายเข้าไปภายในห้างนั้น “พ.ต.อ.นภัสพงษ์” กล่าวว่า...

“ตอนนี้ทางคู่กรณีไม่ได้รับอนุญาตจากทางห้าง ให้เข้ามาบริเวณพื้นที่แล้ว เนื่องจากทำให้ทางห้างเสียชื่อเสียง และยังมีพฤติกรรมข่มขู่ทำให้ผู้อื่นหวาดกลัว ซึ่งประเด็นนี้สามารถทำได้เพราะเป็นสิทธิ์ของผู้ให้เช่า ส่วนจะถึงขั้นยกเลิกสัญญา หรือไม่นั้นส่วนตัวยังไม่ทราบ”

สำหรับประเด็นที่ “คู่กรณี” อ้างว่า ถูกฝ่ายผู้เสียหาย “ข่มขู่” เช่นกันนั้น ผกก.สน.พระราชวัง กล่าวกับทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ว่า...

“เขาอ้างว่าทางร้าน ส่งคนมาเดินวนเวียนบริเวณร้านเขา เลยรู้สึกว่าถูกคุกคามเหมือนกัน แต่พอได้มาเจอกัน ผมก็อธิบายให้ฟังว่า ตำรวจพร้อมให้ความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย ซึ่งพออธิบายให้ฟัง ก็เข้าใจนะ พออยู่ต่อหน้า ก็ยกมือไหว้ ทำตัวเรียบร้อย ไม่ได้อันธพาลอะไร ผมก็บอกไปว่า ต้องแมนๆ หน่อย ส่วนภาพที่ออกไป อันไหนผิดจริง ปฏิเสธไม่ได้อยู่แล้ว มันฟ้องด้วยภาพ ซึ่งเขาก็บอกว่าอันไหนที่ทำจริงก็ยอมรับ แต่อย่างเรื่องบังคับจ่ายเงินเดือน เขาอ้างว่าไม่ได้บังคับ

ส่วนเรื่องที่พูดว่าจะแจ้งความกลับนั้น หลังจากได้เจอกัน เขาบอกมีธุระแล้วก็ออกไป เลยยังไม่มีการแจ้ง ทั้งนี้ทางตำรวจเคยเชิญทั้งสองฝ่ายเข้ามารือเพื่อหาทางออก โดยมีทางฝ่ายห้างเป็นคนกลาง แต่ทางฝ่ายคู่กรณีไม่ได้เข้ามา ส่วนหลังจากนี้ทั้งสองฝ่ายจะคุยกันอีกได้หรือไหม ก็อยู่ที่ความสมัครใจ เพราะตำรวจพร้อมเป็นคนกลางอยู่แล้ว” พ.ต.อ.นภัสพงษ์ กล่าวสรุป 

ทั้งนี้..ในท้ายที่สุดแล้วผลคดีจะเป็นเช่นไร คงจะต้องขึ้นอยู่กับการรวบรวมพยานหลักฐานของพนักงานสอบสวนต่อไป

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน

อ่านบทความที่น่าสนใจ: