ความสมดุลของชีวิตกับการทำงาน หรือ "เวิร์ก ไลฟ์ บาลานซ์" (Work life balance) ที่หลายคนต้องการ อาจทำได้ไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่าย จะต้องมีการลงทุน และการอยากจะมีชีวิตที่ออกแบบได้ ต้องสั่งสมประสบการณ์ มีทักษะที่ตลาดต้องการ และมีเครือข่ายที่ดี เพราะโลกนี้คนปานกลางอาจไม่รอด ต้องมีความโดดเด่น เพื่อให้เป็น “ผู้ถูกเลือก”
เศรษฐศาสตร์แห่งการเลือกงาน หลักการลงทุนให้ชีวิต และแนวคิดเรื่องสมดุลของชีวิตกับการทำงาน หรือ เวิร์ก ไลฟ์ บาลานซ์ (Work life balance) ที่หลายคนพูดถึงนั้น "ธนา เธียรอัจฉริยะ" ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการหลักสูตร สถาบันพัฒนาความคิดสร้างสรรค์เชิงธุรกิจ (ABC) มหาวิทยาลัยศรีปทุม มองว่า เวิร์ก ไลฟ์ บาลานซ์ ใช้ได้กับคนที่มีทางเลือก และการจะมีทางเลือกได้จะต้องลงทุน เพราะคนที่ไม่มีทางเลือกจะไป เวิร์ก ไลฟ์ บาลานซ์ ก็อาจจะถูกไล่ออก ต้องทำงานให้สำเร็จก่อน
“หัวหน้างานสมัยนี้ ไม่เหมือนสมัยก่อน เขาไม่ได้วัดเป็นชั่วโมงการทำงานตั้งแต่ช่วงโควิด หากอยากมีเวิร์ก ไลฟ์ บาลานซ์ มีเวลาไปทำอย่างอื่น ต้องทำงานให้สำเร็จก่อน และคนที่เริ่มคิดตั้งแต่อายุน้อยๆ จะเสี่ยงกว่าคนที่ประสบความสำเร็จ โลกนี้มันโหดร้าย หากไม่ชอบทำงาน ไม่มีแพชชั่น แต่อยากมีเวลาไปเที่ยว เห็นคนอื่นได้ใช้ชีวิต แต่อย่าลืมว่า ทุกอย่างต้องลงทุน ไม่ได้มาฟรีๆ ต้องมีเงินเก็บพอสมควร ถึงเวลานั้นเราจึงจะเริ่มเลือกได้”
...
ขณะเดียวกันหลายคนมองว่า เวิร์ก ไลฟ์ บาลานซ์ คือ การได้ทำในสิ่งที่ชอบด้วยแพชชั่น (Passion) แต่ความจริงมีเพียงไม่กี่คนที่ได้ทำในสิ่งที่ชอบจริงๆ เช่น บางคนอาจจะชอบดนตรี แต่ได้เป็นนักบัญชี ดังนั้นคนส่วนใหญ่ต้องมีคำว่า ฉันทะ ชอบในสิ่งที่ทำ ทำอย่างไรจะสนุกกับงานได้ และสิ่งหนึ่งที่ช่วยได้มากในทุกช่วงอายุ เพราะไม่ว่าจะทำงานหนักแค่ไหนก็ต้องพักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกาย จะช่วยให้อารมณ์ดี อดทนกับงานหนักได้ดีขึ้น แล้วเราจะไม่มีคำถามกับเรื่องเหล่านี้ คนที่มีคำถามกับเรื่องพวกนี้ ก็เพราะเกลียดในสิ่งที่ทำอยู่และไม่มีทางเลือก
ผู้ถูกเลือก ต้องมีทักษะความโดดเด่น เครือข่ายที่ดี
การอยากมีชีวิตที่ออกแบบได้ ตามที่หลายคนปรารถนา แต่ในช่วงที่ชีวิตยังออกแบบไม่ได้ ก็ต้องทำงานหนัก เพื่อดิ้นรนให้ชีวิตรอด มีปัจจัยสี่ มีทางเลือก และการที่เราจะมีทางเลือกนั้น อาจต้องย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้น คือการทำตัวเองให้เป็น “ผู้ถูกเลือก” ต้องมีทักษะที่ตลาดต้องการ มีเครือข่ายที่ดี โลกนี้เป็นโลกที่คนปานกลางไม่ค่อยรอด แต่ต้องมีความโดดเด่นอะไรบางอย่าง
ในช่วง 5-10 ปี ต้องสะสมสิ่งเหล่านี้ แม้คนที่จบเศรษฐศาสตร์เหมือนกัน เริ่มงานเงินเดือนเท่ากัน แต่ผ่านไป 10 ปี ก็ยังมีทักษะที่ไม่เท่ากัน เพราะแต่ละคนผ่านประสบการณ์ไม่เหมือนกัน การที่จะมีคนสอน มีผู้ใหญ่เอ็นดู ได้ทำงานที่ดี มีประสบการณ์มาก แม้ช่วงแรกๆ เงินอาจจะน้อย แต่ทำอย่างไรให้คนอุปถัมภ์ค้ำชู ให้ได้โปรเจกต์ดีๆ สอนงานเรา ซึ่งก็ต้องย้อนกลับมามองว่าเราเป็นคนนิสัยอย่างไร คนไม่ดีก็คงไม่มีใครอยากช่วย หากจะเริ่มต้น 10 ปีให้ชนะคนอื่น ก็ต้องกลับมาที่ตัวเอง
เมื่อเข้าสู่วัยเกษียณ อาจเห็นหลายคนที่ยังคงทำงาน แม้จะมีทุกอย่างครบและสามารถออกแบบชีวิตตัวเองได้ ซึ่งการเกษียณหรือไม่เกษียณ อยู่ที่ความพร้อมของใจและเงิน เรามองว่าความสุขคืออะไรมากกว่า บางคนถามเศรษฐีที่มีเงินหมื่นล้านว่า ทำไมเขาไม่รีไทร์ แต่เขาไม่ได้ต้องการหาเงินเพื่อมาใช้เงิน บางคนใช้เงินแบบสมถะ ไม่ฟุ่มเฟือย ถามว่าทำไมต้องทำงาน เพราะมันคือความสุขเป็นแพชชั่น
“บางคนอาจจะชอบอ่านหนังสือ ชอบทำงาน ชอบความสำเร็จ เขาจึงมีความสุขที่จะตื่นมาทุกเช้า และได้ทำงาน เห็นความสำเร็จ ทำให้มีชีวิตที่ตื่นเช้าขึ้นมาแล้วตื่นเต้น และส่วนตัวตอนนี้รู้สึกมีความสุขของชีวิต เคยคุยกับพี่จิก ประภาส ชลศรานนท์ ว่าตอนนี้มีเป้าหมายอะไรในชีวิตอีกหรือไม่ เขาตอบมาคำหนึ่งว่า เป้าหมายในชีวิตตอนนี้คือ การลดเป้าหมาย มันคือ ดีมานด์ ซัพพลายทางเศรษฐศาสตร์ ความพอใจของเรา คือ เราตั้งเป้าหมายสูงและไขว้คว้าไปเรื่อยๆ”
...
ขณะที่ฝั่งพุทธศาสนา ให้ลดเป้าหมายลงมา เพื่อให้ถึงเป้าหมายได้ง่ายขึ้น ความสุขมันอยู่ตรงกลางระหว่างที่เราบรรลุเป้าหมาย เมื่ออายุมากเห็นอะไรมามาก จะรู้ว่าการดึงเป้าหมายให้ต่ำลงมาเป็นเรื่องที่ง่ายกว่า และมีความสุขง่ายขึ้น ในหลักของเศรษฐศาสตร์ มักจะคิดว่าทรัพยากรมีจำกัด เราต้องใช้เวลาจำกัด วิธีการคิด ทุกอย่างจำกัด ทำให้ต้องแสวงหาสิ่งที่ให้ผลตอบแทนให้มาก ถึงจะคุ้มกับสิ่งที่เราทุ่มเท
แต่อยากจะลองให้ไอเดียเรื่องผลตอบแทนที่อาจจะไม่ใช่เงินอย่างเดียว มองว่ามี 3 อย่าง และเงิน แน่นอนว่าเป็นปัจจัยหนึ่งที่บางช่วงอาจจะสำคัญมาก ถัดมาเรื่องประสบการณ์ ช่วยได้มากในระยะยาว จะรู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก ตัวตนเด่นขึ้น ฉลาดขึ้น ทำอะไรได้มากขึ้น และสุดท้ายการสะสมคำขอบคุณ การสร้างเครือข่าย และการรู้จักเป็นผู้ให้ (Giver) ทำให้เรามีเพื่อนฝูง และอยู่ในกลุ่มคนผู้ให้ เพราะเราเป็นผู้ให้มาก่อน เป็นการสะสมคำขอบคุณ และทำให้เรามีความสุข หรือเรียกว่า การปลูกต้นไม้