อะไรคือภาพสะท้อนการตัดสินใจของชาวกรุงในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. "ผู้ชนะ" ชนะเพราะอะไร? และ "ผู้แพ้" แพ้เพราะอะไร? วันนี้ "เรา" จะพาทุกท่านไปรับฟังบทวิเคราะห์จาก 3 ผู้เชี่ยวชาญที่อยู่เบื้องหลัง โพลผู้ว่าฯ กทม.มาตั้งแต่ต้น คือ ผศ.ดร.สุวิชา เป้าอารีย์ ผู้อำนวยการสำรวจความคิดเห็น สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ นิด้าโพล, ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัย ซูเปอร์โพล และ รศ.ดร.สุขุม เฉลยทรัพย์ ที่ปรึกษาสวนดุสิตโพล
: หากเลือก พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อาจไม่แพ้ยับเยิน
: คนกรุง เหนื่อยล้า ความขัดแย้งทางการเมืองจนกระแส ไม่เลือกเราเขามาแน่ ปลุกไม่ขึ้น
: ชาวกรุงเทพฯ มองข้ามความขัดแย้งและต้องการผู้ว่าฯ กทม. เพื่อทำงาน
ผู้ชนะ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ :
ความเห็น รศ.ดร.สุขุม เฉลยทรัพย์ :
...
ข้อได้เปรียบของ “คุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์” คือ ออกตัวเป็นคนแรกว่าต้องการลงสมัครเป็นผู้ว่าฯ กทม. รวมทั้งมีการแสดงความมั่นอกมั่นใจมาโดยตลอดว่า พร้อมที่จะทำงาน ซึ่งจุดนี้พูดกันตรงๆ คือ คุณชัชชาติ กอบโกยคะแนนส่วนตัวเอาไว้ล่วงหน้าก่อนคนอื่นๆ นานแล้ว และด้วยอาจจะเพราะเหตุนี้ จึงทำให้คนกรุงเทพฯ ที่ตัดสินใจล่วงหน้าเอาไว้นานแล้ว จึงไม่ยอมเปลี่ยนใจ แม้ว่าในช่วงสัปดาห์ท้ายๆ ของการหาเสียงจะมีความพยายามปลุกเร้าในทำนองที่ว่า “ไม่เลือกเราเขามาแน่” เพื่อหวังให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในช่วงโค้งสุดท้ายขึ้นมาก็ตาม
ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจความคิดเห็นของ สวนดุสิตโพล ที่ว่า คนกรุงเทพ “จะไม่เปลี่ยนใจ” ในช่วงโค้งสุดท้ายเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ที่มีสัดส่วนสูงถึง 91.67% ขณะที่สัดส่วนของกลุ่มคนที่ “เปลี่ยนใจ” มีเพียง 8.33%
สิ่งที่น่าตั้งข้อสังเกตสำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ คือ ความเคลื่อนไหวของกลุ่มหัวคะแนนในศึกเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. คราวนี้ ค่อนข้างเป็นไปด้วยความระมัดระวังตัวกันสูงมาก ด้วยอาจจะเพราะเกรงว่าจะเกิดข้อผิดพลาด จนถูกฝ่ายตรงข้ามนำไปแฉจนเกิดแพ้ฟาล์ว และถูกนำไปขยายผลจนกระทั่งมีผลต่อการเลือกตั้งใหญ่ที่กำลังจะมีขึ้นก็เป็นได้
“ครั้งนี้หัวคะแนนมีความเคลื่อนไหวค่อนข้างน้อย หรืออาจจะเรียกว่าเคลื่อนไหวแบบระมัดระวังตัวมาก เพราะกลัวจะกระทบต่อการเลือกตั้งใหญ่ที่ใกล้มาถึง เพราะหากพลาดขึ้นมาจะกลายเป็นชนักติดตัว และถูกฝ่ายตรงข้ามนำไปใช้สำหรับการเลือกตั้งใหญ่ได้”
ความเห็น ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา :
คุณชัชชาติ ทำการบ้านเรื่อง กทม. มาได้ดีมากและยังสามารถเกาะติดกับความเป็นอยู่ของชาว กทม.มาได้อย่างยาวนาน ขณะเดียวกันชัยชนะแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด โดยสามารถทิ้งห่างคะแนนคู่แข่งแบบ 4-5 เท่า ย่อมเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นอีกด้านหนึ่งว่า “ขั้วตรงข้ามการเมือง” เดินยุทธศาสตร์ในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้ ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงได้อีกเช่นกันด้วย
“หากตัดสินใจเลือก พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีต ผบ.ตร. ซึ่งเท่าที่ซูเปอร์โพล สอบถามความคิดเห็นประชาชนมา พบว่าได้รับความนิยมจากชาว กทม.สูง และมีการเปิดตัวและลงพื้นที่ว่าพร้อมสำหรับการเลือกตั้งมานานพอสมควร ลงเลือกตั้งในครั้งนี้ บางทีผลลัพธ์ที่ได้ อาจจะไม่พ่ายแพ้ขาดกันด้วยคะแนน 4-5 เท่าแบบนี้ก็เป็นได้”
การไม่เปิดใจรับฟังเสียงของประชาชน รวมถึงไม่ได้นำข้อมูลในเชิงวิทยาศาสตร์มาใช้เพื่อกำหนดเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ หนำซ้ำยังนำบุคคลที่มีฐานเสียงใกล้เคียงกันมาลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. โดยเชื่อมั่นเพียงบารมีทางการเมืองเพียงอย่างเดียว “มันจึงถูกเสียงของประชาชนตัดสินและท้าทาย ตอบกลับไปให้ว่า พวกเขามีตัวตนมากกว่า”
“และนี่คือเสียงสะท้อนกลับถึงรัฐบาลว่า โอกาสมีไม่มากนักในอนาคตอันใกล้นี้”
...
ความเห็น ผศ.ดร.สุวิชา เป้าอารีย์ :
“คำตอบง่ายๆ เลย คือ คนกรุงเทพต้องการคุณชัชชาติ และคนกรุงเทพฯ มองว่าการเลือกตั้งครั้งนี้คือการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ไม่ใช่ การเลือกตั้งนายกรัฐมนตรี ด้วยเหตุนี้ คุณชัชชาติจึงได้คะแนนจากทั้งฐานพรรคเพื่อไทย และกลุ่มที่ไม่ใช่เพื่อไทย รวมถึงกลุ่มที่ไม่ชอบพรรคเพื่อไทยด้วย”
ประการแรกสิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับคือ คนกรุงเทพฯ ส่วนหนึ่งมองข้ามความขัดแย้งทางการเมืองไปแล้วและเชื่อว่า คุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ สามารถเป็นผู้ว่าฯ กทม. ที่ดีได้ รวมถึงไม่สนใจเรื่องอดีตทางการเมืองที่ผ่านมาด้วย ประการที่สอง ผลของการลงพื้นที่ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นแล้วว่า สามารถให้ผลลัพธ์ที่จับต้องได้จริงๆ และนี่คือ บทเรียนสำคัญที่สอนให้ทุกพรรคการเมืองได้เห็นแล้วว่า “อย่ายึดติดกับสงครามครั้งก่อน” เพราะสถานการณ์ ณ ปัจจุบันย่อมไม่เหมือนกับสถานการณ์ที่เคยผ่านล่วงไปแล้ว
“หลายคนไปยึดติดกับสงครามครั้งก่อน เช่น ไม่จำเป็นต้องรีบเปิดตัว เปิดตัวก่อนเดี๋ยวโดนโจมตีก่อน ไม่ใช่แล้วครับ เรื่องนี้แสดงให้เห็นชัดแล้วครับว่า คิดผิดแล้ว การเปิดตัวก่อน ลงพื้นที่ก่อนของคุณชัชชาติ แสดงให้เห็นชัดเลยว่ามันได้ประโยชน์ 2 ปีที่ผ่านมาช่วยสร้างฐานให้คุณชัชชาติจากเดิมที่มีประมาณ 20% จนโดดมาเป็น 30-40% และวันนี้คือ 50%”
และอีกประเด็นที่แสดงให้เห็นชัดว่า การยึดติดกับสงครามครั้งก่อนจนทำให้พ่ายแพ้คือ การปล่อยเวลาให้ล่วงเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายจริงๆ แล้วจึงพยายามหันไปเน้นกลยุทธ์ “โจมตีฝ่ายตรงข้าม” ซึ่งเคยประสบความสำเร็จมาแล้ว แต่ครั้งนี้เห็นชัดเลยว่า “ไม่ได้ผล” และ “สายเกินไปแล้ว”
...
“ปี 2556 อาจจะใช้ได้เพราะการแก้ข่าวมันทำได้ยาก แต่ในยุคนี้โซเชียลมีเดียทำให้การแก้ข่าวสามารถทำได้แทบจะในทันที และสามารถตอบโต้กลับจนกระทั่งเห็นผลได้ภายในระยะเวลาเพียงไม่ถึง 1 ชั่วโมงเท่านั้น และนี่คืออีกหนึ่งบทเรียนสำคัญที่พรรคการเมืองจะต้องปรับกลยุทธให้เท่าทันโลกที่มันเปลี่ยนแปลงไป”
ประการที่สาม การรู้จักประคองตัวเมื่อรู้ตัวเองว่า “คะแนนนำขาด” คุณชัชชาติ เดินเกมดีมากในการ “ตอบโต้” กลยุทธ์ในช่วงโค้งสุดท้ายของฝ่ายตรงข้าม โดยการหลีกเลี่ยง “การปะทะวาทกรรม” จนกระทั่งทำให้เรื่องราวมันลุกลามขยายใหญ่โตออกไป ซึ่งหากสังเกตดีๆ คุณชัชชาติ จะตอบโต้เพียงสั้นๆ เช่น “ผมยืนยันว่าผมเป็นอิสระ” หรือ “ขอให้ประชาชนอย่าไปเชื่อ Fake News” จากนั้นก็จะไม่ตอบอะไรอีกเลย แค่นี้ทุกอย่างก็จบ...
“คือ...ไม่จำเป็นต้องพูด ก็ไม่ต้องพูด นั่งเรือนิ่งๆ ให้เรือมันลอยเข้าฝั่งไปด้วยตัวของมันเอง อย่าลุกขึ้นมาเต้นกระโตกกระตากจนกระทั่งเรือมันรั่ว และนี่คือวิธีปฏิบัติของผู้ที่มีคะแนนนำ”
...
เหตุใดจึงพ่ายแพ้ :
1. พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง :
ความเห็น รศ.ดร.สุขุม เฉลยทรัพย์ :
“คำตอบง่ายๆ เลยสำหรับกรณีนี้คือ ผู้ว่าฯ กทม. ทำไมจึงต้องมาแข่งกับ รองผู้ว่าฯ กทม.ด้วย แค่นี้ก็จบแล้ว”
เพราะหากมีการดำเนินยุทธศาสตร์เอาคะแนนของ พล.ต.อ.อัศวิน มากองรวมกับ คุณสกลธี เสียตั้งแต่แรกทุกอย่างมันก็จะง่ายขึ้น นอกจากนี้ จุดที่พลาดมากๆ ของ พล.ต.อ.อัศวิน คือ การอ้ำๆ อึ้งๆ ว่าจะลงหรือไม่ลงสมัครผู้ว่าฯ กทม.ตั้งแต่แรก กว่าจะชัดเจนว่าจะลง ทุกอย่างมันก็สายเกินไปเสียแล้ว นอกจากนี้ดูเหมือน พล.ต.อ.อัศวิน เองก็ดูเหมือนจะไม่สามารถตอบคำถามสำคัญของชาว กทม. ได้อีกด้วยว่า “อยู่มา 5-6 ปี แล้ว ทำอะไรให้ กทม. ดีขึ้นได้บ้างหรือไม่? ด้วย”
ความเห็น ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา :
ในช่วงแรกที่ซูเปอร์โพลสำรวจความเห็นประชาชน จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า พล.ต.อ.อัศวิน ได้รับคะแนนนิยมเพียงไม่เกิน 1-2% เท่านั้น ในขณะที่มากถึง 97-98% บอกว่าจะไม่เลือก พล.ต.อ.อัศวิน เพราะอยู่มา 5-6 ปี ไม่มีอะไรดีขึ้น นอกจากนี้ การแสดงออกของ พล.ต.อ.อัศวิน ในช่วงที่ กทม. ประสบปัญหาต่างๆ ก็ดูจะไม่เข้าตาคน กทม. พอสมควร สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่อยู่ในความทรงจำของคนกรุงมาโดยตลอดอีกด้วย
ความเห็น ผศ.ดร.สุวิชา เป้าอารีย์ :
ประการแรก การเป็นผู้ว่าฯ กทม.มานานร่วม 5-6 ปี ทำให้มี “จุดอ่อน” ให้ฝ่ายตรงข้ามโจมตีเยอะมาก ประการที่สอง “อายุ” ประเด็นนี้ทำให้ พล.ต.อ.อัศวิน ไม่สามารถได้คะแนนนิยมในกลุ่มเจเนอเรชัน Z ได้เลย ประการที่สาม “โชคร้าย” ในช่วงโค้งสุดท้าย จู่ๆ ก็เกิดมีฝนตกหนักจนทำให้หลายพื้นที่ของ กทม. น้ำท่วม ซึ่งประเด็นนี้ถือเป็นเรื่อง “อ่อนไหว” สำหรับคนเมืองหลวงมาโดยตลอด และทำให้ พล.ต.อ.อัศวิน ต้องเสียคะแนนนิยมในช่วงโค้งสุดท้าย ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญไปอย่างน่าเสียดาย
นอกจากนี้ นับตั้งแต่นิด้าโพลทำผลสำรวจคะแนนในตัว พล.ต.อ.อัศวิน เป็นต้นมา จนเห็นได้ว่า คะแนนนิยมอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 9-12% มาโดยตลอดนับตั้งแต่เปิดตัวลงชิงผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งการที่ตัวเลขไม่ขยับขึ้นไปมากกว่านี้ น่าจะเป็นเครื่องยืนยันได้ชัดเจนว่า ฐานคะแนนนิยมของ พล.ต.อ.อัศวิน ที่ทำมาตลอดระยะเวลาการเป็นผู้ว่าฯ กทม. น่าจะมีอยู่เพียงเท่านั้นจริงๆ
2. ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ :
ความเห็น รศ.ดร.สุขุม เฉลยทรัพย์ :
เปิดตัวช้าไปสักนิด และเสียคะแนนไปพอสมควรจาก “สารพัดการรับน้องทางการเมือง” นอกจากนี้ในความเห็นส่วนตัวคิดว่า บางทีชาวกรุงเทพอาจจะเกิดความรู้สึก “เบื่อ” นักวิชาการและมองภาพ “นักปฏิบัติ” และ “มีผลงาน” จาก ดร.สุชัชวีร์ ได้ยังไม่ชัดเจนนักก็เป็นได้ ซึ่งทั้งหมดนี้ยังมาผสมเข้ากับ “ความสั่นคลอนภายใน” พรรคประชาธิปัตย์เข้าพอดิบพอดีในช่วงการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. อีกด้วย
“แต่ในความเห็นส่วนตัว ผมคิดว่าหากพรรคประชาธิปัตย์ ตัดสินใจเอาลูกหม้อของตัวเองที่ทำงานในพื้นที่มายาวนาน ลงเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ในครั้งนี้ บางทีแฟนคลับพรรคประชาธิปัตย์แบบเหนียวแน่นอาจจะตัดสินใจเลือกผู้สมัครของพรรคได้ง่ายกว่านี้ก็เป็นได้”
ความเห็น ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา :
การถูกรับน้องทางการเมืองและความสั่นคลอนภายในพรรคประชาธิปัตย์กลายเป็น “จุดอ่อน” ที่กลบ “จุดเด่น” เรื่องวิสัยทัศน์และนโยบายของ ดร.สุชัชวีร์ ไปเสียเกือบหมด อย่างไรก็ดีทั้งหมดนี้ถือเป็นบททดสอบครั้งสำคัญในการเดินทางจาก แวดวงวิชาการ สู่ แวดวงการเมืองในท้ายที่สุด
“จากผลสำรวจซูเปอร์โพลพบว่า แฟนพันธุ์แท้พรรคประชาธิปัตย์ถึง 50% เลือก ดร.สุชัชวีร์ นอกจากนี้ ยังได้รับคะแนนจากกลุ่มขั้วตรงข้ามอยู่บ้างด้วย เพราะฉะนั้นสำหรับ ดร.สุชัชวีร์ จึงถือว่าเป็นการเปิดตัวบนเวทีการเมืองที่ดีพอสมควร”
ความเห็น ผศ.ดร.สุวิชา เป้าอารีย์ :
ฐานคะแนนของคุณสุชัชวีร์ หลังเปิดตัวสมัครผู้ว่าฯ กทม. มีเพียงประมาณ 3% กว่าๆ เนื่องจากเป็นที่รู้จักค่อนข้างน้อยสำหรับคนกรุงเทพมหานครทั่วๆ ไป ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ในกรุงเทพฯ มี 4% กว่าๆ รวมกันได้เพียงแค่ 8% เท่านั้น ซึ่งห่างไกลกับคุณชัชชาติ ซึ่งที่ลงพื้นที่มา 2 ปี ฐานคะแนนเสียงวิ่งไปร่วม 30% กว่าๆ เข้าไปแล้ว และกว่าที่ คุณสุชัชวีร์ จะเริ่มเป็นที่รู้จักของคนกรุงเทพฯ ก็ต้องใช้ระยะเวลาในการหาเสียงไปนานพอสมควรอีกด้วย แต่เสน่ห์ของคุณสุชัชวีร์ คือ การปราศัยหาเสียง ฉะนั้นการเริ่มสร้างฐานเสียงได้ในครั้งนี้จะมีผลดีต่อการเล่นการเมืองต่อไปในอนาคตอย่างแน่นอน
3. สกลธี ภัททิยกุล :
ความเห็น รศ.ดร.สุขุม เฉลยทรัพย์ :
ในความเห็นส่วนตัวผมคิดว่า ความพยายามปลุกเร้าเรื่องการแบ่งขั้วทางการเมือง น่าจะเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะกับชาวกรุงเทพฯ ที่กำลัง “เหนื่อยล้า” ณ เวลานี้ เพราะคนกรุงเทพฯ อาจจะรู้สึกว่า ความขัดแย้งต่างๆ ทางการเมือง “ไม่ได้ช่วยอะไร” และอาจจะยิ่งทำให้เกิดความ “แตกแยก” มากขึ้นอีกด้วย
ความเห็น ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา :
การเปิดลงสมัครที่ล่าช้าในขณะที่ฝ่ายคุณชัชชาติทำคะแนนทิ้งห่างไปไกลมากแล้ว นอกจากนี้กว่าที่ผู้ใหญ่ในขั้วการเมืองฝ่ายเดียวกันจะพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ก็ดูช้ามากเกินไป จนกระทั่งทำให้การปรับกลยุทธ์ การเชื่อมประสานการทำงาน เพื่อสร้างพลังและกระแสความนิยมผ่านอินฟลูเอนเซอร์ รวมถึงตอบสนองความต้องการของประชาชนจึงไม่ทันการณ์
“ในความเห็นส่วนตัวผม หากมีความชัดเจนเสียตั้งแต่แรกว่าจะส่งเพียงคนเดียวอาจจะได้ผลลัพธ์ที่ดูน่าลุ้นมากกว่านี้ก็เป็นได้ เพราะในช่วงโค้งสุดท้าย คะแนนคุณสกลธีดีขึ้นกว่าในช่วงเปิดตัวมาก”
ความเห็น ผศ.ดร.สุวิชา เป้าอารีย์ :
เปิดตัวช้า และเกิดการตัดคะแนนในกลุ่มผู้สนับสนุนที่ใกล้เคียงกันของ พล.ต.อ.อัศวิน ซึ่งหากจะว่ากันตามจริง หากมีการตัดสินใจส่งคุณสกลธี หรือ พล.ต.อ.อัศวิน ลงสมัครแค่คนใดคนหนึ่ง บางทีอาจทำให้กลุ่มผู้สนับสนุนตัดสินใจได้ง่ายกว่านี้ และอาจจะได้คะแนนมากกว่านี้ก็เป็นได้
หากแต่สิ่งที่น่าตั้งข้อสังเกตสำหรับ คุณสกลธี คือ คะแนนเสียงที่ได้รับในครั้งนี้ต้องถือว่า “ดีเกินคาด” ซึ่งน่าจะเป็นเพราะมีการตัดสินใจใช้ “กลยุทธ์การเทคะแนนให้” มาช่วยส่วนหนึ่งในช่วงโค้งสุดท้าย แต่คะแนนที่ได้รับมาเหล่านี้ สามารถนำไปใช้สำหรับเส้นทางอนาคตทางการเมืองได้เช่นเดียวกับกรณีของ คุณสุชัชวีร์ เช่นกัน
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :