17 พ.ค. เปิดภาคเรียนแบบออนไซต์ ทำให้ผู้ปกครองต้องเตรียมพร้อมในการจับจ่ายซื้อชุดนักเรียน และอุปกรณ์ต่างๆ ท่ามกลางค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้น แม้กระทรวงพาณิชย์ขอความร่วมมือผู้ประกอบการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ด้วยการลดราคาและขอให้ผู้ผลิตตรึงราคาไว้ก่อน เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายผู้ปกครอง แต่หากเทียบราคาสินค้าก่อนโควิดระบาด ยังถือว่าแพงขึ้นมาก

อีกทั้งอัตราเงินอุดหนุนรายหัวนักเรียนทุกสังกัดที่ประกาศใช้เมื่อปีการศึกษา 2553 หรือผ่านไปกว่า 13 ปี ไม่สอดคล้องกับค่าใช้จ่ายจริงและอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงศึกษาธิการ ได้ศึกษาแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 26 เม.ย.เตรียมปรับขื้นอัตราเงินอุดหนุนรายหัวนักเรียน และกว่าจะผ่านการพิจารณาตามขั้นตอน คาดว่าไม่น่าทันเปิดเทอม 17 พ.ค.นี้

ข้อมูลการวิจัยของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ชี้ว่าก่อนเปิดเทอมผู้ปกครองต้องจ่ายค่าเล่าเรียน ค่าเครื่องแบบนักเรียน ค่าอุปกรณ์ เฉลี่ย 4,055-9,042 บาทต่อคนต่อปี และยังมีค่าใช้จ่ายแฝงเพิ่มเติมทั้งค่าเดินทาง ค่าอาหารเช้า ที่ผู้ปกครองต้องเสียเงินเฉลี่ย 2,058-6,034 บาทต่อคนต่อปี รวมแล้วก่อนเปิดเทอม นักเรียน 1 คน ต้องใช้เงินเฉลี่ย 6,113-15,076 บาทต่อคนต่อปี

...

ปัญหาราคาสินค้าและพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นได้สร้างความกังวลให้กับผู้ปกครอง ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อและการใช้จ่ายในการเปิดเทอมใหญ่ปี 2565 จากการสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ทำให้มีความจำเป็นต้องก่อหนี้เพื่อนำมาใช้จ่าย โดยมูลค่าการใช้จ่ายเพื่อการศึกษาของผู้ปกครองในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล อาจมีมูลค่าประมาณ 26,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 2.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ยังต่ำกว่าปี 2563

ชุดเครื่องแบบนักเรียน ได้สร้างภาระหนักให้กับผู้ปกครองในการเลือกซื้อตามกำลังซื้อ ซึ่งมีราคาหลากหลายขึ้นอยู่กับคุณภาพของเนื้อผ้า การตัดเย็บและขนาดเล็กใหญ่ เฉลี่ยนักเรียน 1 คนซื้อชุดนักเรียน 1-3 ชุด หากระดับชั้นอนุบาลจะถูกกว่า ราคาเฉลี่ย 300 บาทต่อชุด ส่วนชั้นประถมศึกษา ราคาเฉลี่ย 500 บาทต่อชุด และระดับมัธยมศึกษา ราคาประมาณ 600-700 บาท

ยังไม่รวมค่าอุปกรณ์อื่นๆ เช่น รองเท้า ถุงเท้า กระเป๋า เข็มขัด และชุดพละ นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายชุดลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด ราคาเฉลี่ยชุดละ 500-700 บาท หรือมากกว่า และค่าอื่นๆ เช่น ผ้าพันคอ ป้ายสัญลักษณ์ต่างๆ หมวก สายเข็มขัด และหัวเข็มขัด

จากค่าใช้จ่ายบางส่วนก่อนเปิดเทอมคิดแล้วเป็นหลักพันบาท สร้างภาระให้กับผู้ปกครองเป็นอย่างมากในยุคข้าวยากหมากแพง และหากครอบครัวใด มีลูกหลานหลายคนยิ่งต้องเสียเงินมากขึ้นอีก คงต้องสำรวจดูราคาจากหลายแหล่ง ซึ่งจัดโปรโมชั่นลดราคาแข่งขันกัน นำไปเปรียบเทียบกับเงินในกระเป๋าว่าเพียงพอหรือไม่ ก่อนไปกู้หนี้ยืมสิน พึ่งโรงรับจำนำ เรียกได้ว่าทำให้ผู้ปกครองเหนื่อยใจกันเลยทีเดียว ในวันนับถอยหลังก่อนเปิดเทอม.