สงครามรัสเซียกับยูเครน ยังสร้างความกังวลให้กับนักลงทุน ส่งผลให้ราคาทองคำผันผวน ขึ้นลงสลับกันแบบไร้ทิศทาง โดยราคาทองคำไทย ยังคงทะลุบาทละ 30,000 ล่าสุดที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) มีมติถอดถอนรัสเซีย ออกจากการเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน เพื่อตอบโต้การบุกโจมตียูเครน
หากสถานการณ์การสู้รบรุนแรงยืดเยื้อ ราคาทองมีโอกาสสูงมากจะปรับขึ้นเร็วและแรง แต่หากสงครามยุติลง ราคาทองจะลงเร็ว โดยขณะนี้แนวโน้มราคาทอง ยังเป็นขาขึ้นควบคู่กับภาวะเงินเฟ้อ รวมถึงเงินบาทจะอ่อนค่าต่อไป คาดว่าราคาทองไทย อาจปรับขึ้นถึงบาทละ 31,500 ในช่วง 2 เดือนข้างหน้า หรือในไตรมาส 2 ปีนี้ จากการมองของนักวิเคราะห์
นอกจากนี้ราคาทองคำ ยังได้รับแรงกดดันกรณีธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในปีนี้ถึง 3.5% และยืนยันจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ในเดือน พ.ค.นี้ ภายหลังภาพรวมเงินเฟ้อของสหรัฐฯ เติบโตเร็วกว่าที่คาด
ขณะที่ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานของสหรัฐฯ ลดลงสู่ระดับ 166,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 200,000 ราย ยิ่งเป็นการเร่งให้เฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ย และหนุนให้เงินดอลลาร์มีทิศทางแข็งค่าขึ้นอีก ส่วนค่าเงินบาทยังอยู่ในทิศทางอ่อนค่า
...
เมื่อราคาทองมีแนวโน้มขาขึ้น แน่นอนมักจะมีประชาชนชนทองไปขายทำกำไรโดยเฉพาะทองรูปพรรณ ซึ่งการขายทองเมื่อซื้อร้านใดจะต้องขายคืนร้านนั้น และควรเก็บใบรับประกันไว้ เพื่อไม่ให้ถูกกดราคา โดยหลักเกณฑ์ของ สคบ. กำหนดไว้ว่าการรับซื้อคืนทองรูปพรรณ ให้หักค่าเสื่อม จากราคารับซื้อคืนทองคำแท่งได้สูงสุดไม่เกิน 5% หากขายต่างร้าน อาจหักราคามากกว่า 5%
ดังนั้นการที่ทองรูปพรรณ มีลายสวย หรือไม่สวย หรือขาดเสียหาย บิดเบี้ยว จะได้ราคาขายทองคืนไม่แตกต่างกันมากนัก แต่น้ำหนักทองรูปพรรณ มีโอกาสหายมากกว่าทองคำแท่ง จากการสวมใส่เป็นประจำ จนตะขอหลุด สร้อยขาด แหวนบิดเบี้ยว ทำให้น้ำหนักทองหายไป ไม่เหมือนกับทองแท่ง โอกาสชำรุดและน้ำหนักทองหายมีน้อยกว่า เพราะเป็นทองล้วนๆ และราคารับซื้อคืนดีกว่าทองรูปพรรณ สรุปแล้วก่อนจะขายทอง ควรตรวจสอบเทียบเคียงกับหลายๆ ร้าน น่าจะดีกว่า.