เจาะพรสวรรค์ "ฟลอเรียน เวียร์ตซ์" จอมทัพหมายเลข 10 ผู้อยู่รอดในฟุตบอลยุคใหม่ และแสงแห่งความหวังของเยอรมนี ในศึกยูโร 2024...ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันให้ “ทัพอินทรีเหล็ก” กลับมาโชว์ฟอร์มได้อย่าง “แข็งแกร่ง และไฉไลเป็นบ้า” ในฟุตบอลยูโร 2024 จนกระทั่งทำให้ผู้คน “หลงลืม” ความเหลวแหลกและน่าอับอาย จากการ “ตกรอบแรก” ในฟุตบอลโลก 2022 อย่างชนิดสิ้นลายแชมป์โลก 4 สมัยนั้น มาจากการร่ายเวทมนตร์อันน่ามหัศจรรย์ของ “เด็กหนุ่ม” วัยเพียง 21 ปี ที่มีชื่อว่า “ฟลอเรียน เวียร์ตซ์” (Florian Wirtz) จอมทัพหมายเลข 10 จากสโมสรไร้พ่าย “ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน” เจ้าของถาดแชมป์บุนเดสลีกาฤดูกาลล่าสุด (2023/24)อะไรคือสิ่งที่อยู่เบื้องหลัง “เวทมนตร์” ของ “เด็กหนุ่มมากพรสวรรค์ Gen Z” คนนี้กันบ้าง? วันนี้ทั้ง “คุณ” และ “เรา” มาร่วมกันวิเคราะห์จากข้อมูลเหล่านี้ร่วมกัน STATISTICS ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ (Florian Wirtz)เกิด : 3 พ.ค. 2003 (ปัจจุบัน อายุ 21 ปี) สูง : 177 เซนติเมตร หนัก : 71 กิโลกรัม ตำแหน่ง : มิดฟิลด์ตัวรุก สังกัด : ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน Bundesliga Season 2023/24 ลงเล่น 32 นัด ยิง 11 ประตู 11 แอสซิสต์ความแม่นยำในการจ่ายบอล : 84.6%ความเร็ว : 34.61 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รวมระยะทางการวิ่ง : 325.7 กิโลเมตร (เฉลี่ยต่อนัดวิ่ง 10.1 กิโลเมตร) นักเตะยอดเยี่ยมของบุนเดสลีกา ประจำฤดูกาล 2023/24ค่าตัวปัจจุบันจากการประเมินของ Transfermakt.com : 130 ล้านยูโรอัจฉริยะในรอบ 30 ปี“ฟลอเรียน เวียร์ตซ์” เกิดที่เขตเบราไวเลอร์ ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองโคโลญจน์ ประเทศเยอรมนี โดยเด็กหนุ่มผู้นี้ได้รับ “พรสวรรค์ทางด้านกีฬา” มาจากคนในครอบครัวอย่างแท้จริง เนื่องจากทั้งพ่อและแม่ รวมไปจนกระทั่งถึงพี่สาว ต่างเป็นนักกีฬาด้วยกันทั้งหมด โดยพ่อของเขา ซึ่งนอกจากในอดีตจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพแล้ว ปัจจุบันยังทำหน้าที่เป็น ประธานสโมสรเอสวี กรุน-ไวส์ เบราไวเลอร์ (SV Grun-Weiss Brauweiler) ซึ่งเป็นสโมสรฟุตบอลท้องถิ่นอีกด้วย ขณะที่ พี่สาวนั้น ปัจจุบันเป็นนักฟุตบอลอาชีพสังกัดสโมสรไบเออร์ เลเวอร์คูเซน เช่นเดียวกับน้องชาย โดยลงเล่นในลีกอาชีพ (บุนเดสลีกาหญิง) รวมถึงติดทีมชาติเยอรมนีชุดเยาวชน มาตั้งแต่อายุเพียง 16 ปี เท่านั้นอีกด้วย! (เริ่มลงเล่นลีกอาชีพในปี 2018) สำหรับ “ฟลอเรียน เวียร์ตซ์” ฉายแววความเป็นอัจฉริยะนักเตะ มาตั้งแต่ได้ลงเล่นในทีมระดับเยาวชนของสโมสรโคโลญจน์ ด้วยวัยเพียง 7 ปี! จนกระทั่งครั้งหนึ่ง หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นอย่าง “Kolner Express” ถึงกับยกย่องเจ้าหนูรายนี้เอาไว้อย่างเลอเลิศว่า... “นี่คือมิดฟิลด์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของสโมสรโคโลญจน์ในรอบ 30 ปี” Leverkusen“คุณต้องให้โอกาสกับนักเตะมากพรสวรรค์แบบนี้ เพื่อให้เขาได้รังสรรค์ในสิ่งที่สุดพิเศษบนสนาม” ชาบี อลอนโซ ผู้จัดการทีมไบเออร์ เลเวอร์คูเซน สำหรับ “จุดเปลี่ยนสำคัญ” ในเส้นทางการค้าแข้งของ “หมายเลข 10” แห่งไบอารีนา คนปัจจุบันนั้นก็คือ การโชว์ฟอร์มอันแสนเจิดจ้า ด้วยการยิง 8 ประตู จาก 10 เกม แถมหนึ่งในจำนวนนั้นเป็นการยิงประตูจากครึ่งสนาม! จนกระทั่งพาทีมเยาวชนโคโลญจน์ คว้าแชมป์ U-17 บุนเดสลีกา ได้สำเร็จในปี 2019 จากนั้นเป็นต้นมา บรรดาสโมสรยักษ์ใหญ่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น บาเยิร์น มิวนิก, โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์, แอร์เบ ไลป์ซิก หรือแม้แต่ ลิเวอร์พูล จากเกาะอังกฤษ ต่างแห่ส่งตัวแทนมารุมจีบ Wonder Kid ที่มี “ลิโอเนล เมสซี” เป็นไอดอลในดวงใจกันอย่างชนิดจ้าละหวั่นแต่สุดท้าย “ฟลอเรียน เวียร์ตซ์” ตัดสินใจเลือกเซ็นสัญญากับ “ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน” ในช่วงต้นปี 2020 ซึ่งถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เนื่องจากที่ไบอารีนามีสิ่งที่เรียกว่า “โอกาส และเวลา” สำหรับการพัฒนาเพื่อลงเล่นในทีมชุดใหญ่มากกว่าสโมสรยักษ์ใหญ่อื่นๆ ด้วยเหตุนี้ เมื่ออายุเพียงแค่ 17 ปี 16 วัน “ฟลอเรียน เวียร์ตซ์” จึงได้ลงประเดิมสนามในศึกบุนเดสลีกา นัดที่ทีมนายห้างขายยา สามารถเอาชนะ เบรเมน ไปได้ 4 ประตูต่อ 1 ในเดือนพฤษภาคมปี 2020 ซึ่งสถิติการลงสนามดังกล่าว ทำให้ปัจจุบันเขากลายเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดในลำดับที่ 3 ที่ได้ลงเล่นในบุนเดสลีกา และจากนั้นเป็นต้นมา “พรสวรรค์บนฟลอร์หญ้า” ของเด็กมหัศจรรย์แห่ง De Werkself ก็ยิ่งเจิดจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งกลายเป็น “ระดับปรากฏการณ์โลกลูกหนัง” เมื่อเป็นแกนนำสำคัญของ “ทีมแชมป์ไร้พ่าย” ภายใต้การคุมทีมของ “คุณชายชาบี อลอนโซ” เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา (2023/24)สำหรับเส้นทางสู่ทีมชาติเยอรมนีนั้น “เวียร์ตซ์” ทำสถิติเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุด ที่ลงเล่นให้กับทีมชาติเยอรมนีชุด U-21 ด้วยวัยเพียง 17 ปี 159 วัน เมื่อเดือนตุลาคมปี 2020 ส่วนการก้าวเข้าสู่ทีมชาติชุดใหญ่นั้น เจ้าหนูเวียร์ตซ์ ถูกเรียกมาติดธงครั้งแรกในเดือนมีนาคม ปี 2021 แต่กว่าจะได้รับโอกาสให้ลงเล่นเป็น 11 คนแรกในสนามนั้น เจ้าตัวก็ต้องอดทนรอจนถึงเดือนกันยายนปี 2021 หรือ 4 เดือนหลังจากวันเกิดอายุครบ 18 ปี และนั่นทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุด ลำดับที่ 3 ที่ลงเล่นให้ทีมชาติเยอรมนี นับตั้งแต่ปี 1945 เป็นต้นมา STYLE“ผมเป็นนักเตะเกมรุกโดยธรรมชาติ ผมชอบที่จะมีพื้นที่สำหรับการสร้างสรรค์เกม, เคลื่อนที่ และพาบอลไปข้างหน้า ผมรู้สึกสบายใจมากๆ สำหรับการเล่นในฐานะผู้เล่นเบอร์ 10 แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังคงสนุกกับการได้ลงเล่นในบทบาทผู้เล่นริมเส้น หรือบทบาทอื่นๆ ในเกมรุก ผมรู้สึกว่าผมสามารถใช้จุดแข็งของตัวเอง สำหรับการลงเล่นในตำแหน่งเหล่านั้นได้” ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ มิดฟิลด์จอมทัพ กับโลกฟุตบอลปี 2024เป็นที่ทราบกันดีว่า “ยุทธวิธีลูกหนังในยุคปัจจุบัน” ซึ่งเน้นเกมบีบสูงในแดนบน และพยายามลดพื้นที่บริเวณกลางสนามของฝ่ายตรงข้ามให้เหลือน้อยที่สุดนั้น ถือเป็นศาสตร์ลูกหนังที่ทำให้ “มิดฟิลด์จอมทัพหมายเลข 10” แทบสาบสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ หรือถ้าจะเหลือรอดก็ต้องปรับตัวเองให้มีความคล่องตัว รวมถึงสามารถโยกออกไปเล่นทางริมเส้นได้ ซึ่งกรณีของ “ฟลอเรียน เวียร์ตซ์” ก็ถูกตัดแต่งพันธุกรรมให้เหมาะสม สำหรับการอยู่รอดในฐานะเบอร์ 10 เช่นกันด้วยเหตุนี้ แท็กติกของเลเวอร์คูเซน “ฟลอเรียน เวียร์ตซ์” เป็นได้ทั้ง มิดฟิลด์จอมทัพหลังกองหน้า ในระบบ 3-4-1-2 หรือ โยกออกไปเป็นผู้เล่นทางด้านซ้าย ในระบบ 3-4-2-1 ส่วนในทีมชาติอินทรีเหล็กชุดลุยศึกยูโร 2024 “เจ้าหนูเวียร์ตซ์” ได้รับมอบหมายจาก “ยูเลียน นาเกลส์มันน์” ให้ทำหน้าที่ก่อกวนกองหลังฝ่ายตรงข้ามจากริมเส้นฝั่งซ้าย แล้วอะไรคือ “จุดแข็ง” ที่ทำให้ “เด็กมหัศจรรย์แห่งเยอรมนี” สามารถเล่นทั้งสองบทบาทนี้ได้อย่างลงตัวและกลมกลืน เทคนิค และการผ่านบอล : ผู้เชี่ยวชาญด้านศาสตร์ฟุตบอลในบุนเดสลีกา วิเคราะห์ตรงกันว่า สิ่งที่ทำให้มนุษย์เบอร์ 10 ที่ไบอารีนา ประสบความสำเร็จในโลกฟุตบอลยุคนี้ คือ ความสามารถเฉพาะตัวอันยอดเยี่ยม โดยเฉพาะการสัมผัสบอลแรกอันนิ่มนวลเชื่องเท้า ซึ่งนอกจากจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถแย่งบอลได้แล้ว ยังทำให้ศิลปินลูกหนังผู้นี้ “มีเวลามากพอ” สำหรับการมองหาเพื่อนร่วมทีมเพื่อเล่นเกมรุกในลำดับถัดไปด้วย ขณะเดียวกัน “จุดแข็ง” อีกข้อคือการผ่านบอลอันแม่นยำ โดยสิ้นสุดวันที่ 17 เม.ย. 24 ของ “ฟลอเรียน เวียร์ตซ์” อยู่อันดับที่ 11 ของ 5 ลีกใหญ่ยุโรป ที่มีสถิติการผ่านบอลในระยะ 5-15 เมตร สำเร็จ ด้วยค่าเฉลี่ยสูงถึง 89%! นอกจากนี้ ยังมีเพียง “มาร์ติน โอเดการ์ด” ศิลปินลูกหนังจากเอมิเรตส์ สเตเดียม เท่านั้น ที่สามารถผ่านบอลเข้าไปในพื้นที่เขตโทษของฝ่ายตรงข้ามได้แม่นยำมากกว่า ส่วนในบุนเดสลีกา หมายเลข 10 แห่งเลเวอร์คูเซน เป็นเจ้าของสถิติทำชิ่ง 1-2 สำเร็จถึง 41 ครั้ง ซึ่งถือเป็นอันดับ 1 ของลีกด้วย!การป้องกัน : การปรับตัวเพื่ออยู่รอดของมิดฟิลด์ตัวรุก หรือผู้เล่นหมายเลข 10 ในยุคนี้ สิ่งสำคัญที่สุดย่อมหนีไม่พ้น “ต้องเล่นเกมรับเป็น” แล้ว “ฟลอเรียน เวียร์ตซ์” เล่นเกมรับเป็นไหมน่ะหรือ? นี่คือคำตอบของคำถามที่ว่านั้น! สถิติการเล่นเกมรับของ ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ ในบุนเดสลีกา ฤดูกาล 2023/24 เข้าสกัดชนะคู่แข่ง : 327 ครั้ง เอาชนะการดวลลูกกลางอากาศ : 11 ครั้ง รวมระยะทางการวิ่ง : 325.7 กิโลเมตร ค่าเฉลี่ยต่อนัดวิ่ง 10.1 กิโลเมตร ซึ่งสถิติทั้งหมดที่ว่านี้ “คุณเชื่อหรือไม่?” ว่า มันเป็นสถิติที่ใกล้เคียงกับบรรดามิดฟิลด์ตัวรับลำดับต้นๆ ในบุนเดสลีกาเลยทีเดียว!การยิงประตู : ไม่เพียงแต่ความเชี่ยวชาญในเรื่องการสร้างสรรค์เกมรุก ซึ่งมีค่าเฉลี่ยการสร้างสรรค์โอกาสที่นำไปสู่การยิงประตูสูงถึง 60% แล้ว ภายใต้การปรับแต่งของ “คุณชายชาบี อลอนโซ” ในฤดูกาลล่าสุด การทำประตูของ ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ ยังทรงประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิมด้วยโดยสิ้นสุดวันที่ 17 เม.ย. 24 “ค่าเฉลี่ยการเข้าทำประตู” ของเจ้าหนูมหัศจรรย์รายนี้ เพิ่มขึ้นจาก 1.75 ครั้งต่อเกม เป็น 2.59 ครั้งต่อเกม ขณะที่ค่าเฉลี่ยความแม่นยำในการยิงเข้ากรอบประตูยังเพิ่มขึ้นจาก 0.73 ครั้งต่อเกม เป็น 1.43 ครั้งต่อเกมด้วย อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าสนใจจากสถิติที่ Opta ตามเก็บจากการเล่นของ “ฟลอเรียน เวียร์ตซ์” ทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติ ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. 23 จนถึงสิ้นสุดฤดูกาล 2023/24 (รวม 4,079 นาที) จากการยิงทั้งหมด 112 ครั้ง ที่เปลี่ยนเป็นทำทั้งหมด 20 ประตู จะเห็นได้ว่า ส่วนใหญ่เป็นการยิงประตูในกรอบเขตโทษ โดยเฉพาะบริเวณกึ่งกลางประตูทั้งสิ้น นั่นจึงน่าจะเป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นได้ส่วนหนึ่งว่า “ประสิทธิภาพสูงสุด” ที่จะได้จากอัจฉริยะนักเตะผู้นี้ คือ ตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุกหมายเลข 10 อนาคต 2 นัดแรก (เป็นตัวจริงทั้ง 2 นัด) ในรอบแบ่งกลุ่มฟุตบอลยูโร 2024 “ฟลอเรียน เวียร์ตซ์” โชว์ฟอร์มได้อย่างเปล่งปลั่งกับทีม ชาติเยอรมนี โดยเฉพาะความแม่นยำ และครีเอตเรื่องการ “จ่ายบอล” ทะลุทะลวงแนวรับฝ่ายตรงข้ามนั้น ยังคง “เฉียบขาด” และพึ่งพาได้เช่นเดิม โดยลงเล่น 2 นัด (สิ้นสุดวันที่ 19 มิ.ย. 24) รวม 121 นาที ทำสถิติยิง 1 ประตู ค่าเฉลี่ยการผ่านบอลสำเร็จ 93% รวมระยะทางการวิ่ง 15.38 กิโลเมตร (เฉลี่ยต่อนัด 7 กิโลเมตร) ภายใต้แท็กติกของ “ยูเลียน นาเกลส์มันน์” ผู้จัดการทีมชาติเยอรมนี “เวียร์ตซ์” และ “จามาล มูเซียลา” อัจฉริยะหมายเลข 10 จากบาเยิร์น มิวนิก สามารถลงเล่นในทีมเดียวกันได้ แถมยังได้รับอิสระในการเล่นเกมรุกอย่างเต็มที่ ภายใต้การสนับสนุน และดูแลอย่างใกล้ชิดของนักเตะรุ่นพี่อย่าง “โทนี โครส” และ “อิลคาย กุนโดกัน” ซึ่งถึงแม้จะต้องไปเล่นทางด้านข้างมากขึ้น (ปีกซ้าย) และมีอิทธิพลต่อทีมน้อยลงกว่าการบังคับบัญชาเกมให้กับเลเวอร์คูเซน แต่ในอีกด้านหนึ่ง “บางที” การค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป และไม่รีบร้อน เพื่อปกป้องไม่ให้ไอ้หนูวัยแค่ 21 ปี ต้องรับภาระจากแรงกดดันที่มากจนเกินพอดี อาจส่งผลดีต่ออนาคตในวงการลูกหนังของ “เวียร์ตซ์” ก็เป็นได้ เพราะ “เรา” คงไม่อยากเห็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอยแบบในกรณีของดาวรุ่งที่ไปไม่ถึงฝั่งฝันอย่างน่าเสียดาย เช่น “มาริโอ เกิทเซ”, “ยูเลียน ดรักซ์เลอร์” หรือ “มักซ์ เมเยอร์” อีกแล้วทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน กราฟิก : อ่านบทความในรูปแบบ Storytelling เพิ่มเติม