HYBE Corporation ภายใต้การนำของ “บัง ชีฮยอก” (Bang Si Hyuk) บริหารธุรกิจอย่างไร? จึงกลายเป็นอาณาจักรธุรกิจบันเทิง 2 ล้านล้านวอน (59,204 ล้านบาท) ได้สำเร็จ...“บัง ชีฮยอก” (Bang Si Hyuk) ชายผู้แปรเปลี่ยนค่ายเพลง Startup ที่เคยมีห้องทำงานและสตูดิโอสำหรับทำเพลงกระจุกรวมกันที่ชั้น 2 ของอาคารขนาดเล็กและคับแคบ จนถึงขนาดที่ว่า…ในห้องดังกล่าวหากมีคนเข้าไปเพียงสามคน ก็ต้องมีคนหนึ่งที่ต้องเสียสละลงนั่งกับพื้น เพราะมีพื้นที่ไม่เพียงพอ ให้ประสบความสำเร็จ จนกระทั่งสามารถพุ่งทะยานแซงหน้า “Big 3” ที่เคยครอบครองอุตสาหกรรมเพลงของเกาหลีใต้ อย่าง YG Entertainment, JYP Entertainment และ SM Entertainment ได้อย่างเหลือเชื่ออะไรคือ...เคล็ดลับของ “บัง ชีฮยอก” ในการพา Big Hit Entertainment หรือ HYBE Corporation (ชื่อบริษัทในปัจจุบัน) Go to the Moon? ความสำเร็จที่จับต้องได้ของ HYBE Corporation รายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุด ที่มีการประกาศเมื่อช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา HYBE Corporation ทำรายได้รวม ณ สิ้นปี 2023 ได้สูงถึง 2.18 ล้านล้านวอน! (59,204 ล้านบาท) หรือ +22.6% เมื่อเปรียบเทียบแบบปีต่อปี สำหรับผลกำไรจากผลการดำเนินงาน อยู่ที่ 295,800 ล้านวอน! (8,033 ล้านบาท) หรือ +24.9% เมื่อเปรียบเทียบแบบปีต่อปี และมีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 186,600 ล้านวอน (5,067 ล้านบาท) หรือ +288.5% เมื่อเปรียบเทียบแบบปีต่อปี โดยศิลปินของ HYBE ที่ทำยอดขายอัลบั้มได้อย่างถล่มทลายในปี 2023 ตามรายงานของ Circle Chart คือ Seventeen (15.49 ล้านก๊อบปี้) Tomorrow X Together (6.51 ล้านก๊อบปี้) NewJeans (4.26 ล้านก๊อบปี้) Enhypen (3.88 ล้านก๊อบปี้) ส่วนอัลบั้มเดี่ยวของ “จองกุก” และ V สองสมาชิก BTS ทำยอดขาย 2.71 ล้านก๊อบปี้ และ 2.25 ล้านก๊อบปี้ตามลำดับ (ยอดขาย ณ สิ้นสุดวันที่ 13 ก.พ. 24)ความมั่งคั่งของ Bang Si Hyukจากการประเมินแบบ Real Time ของ Forbes ณ วันที่ 5 เมษายน 2024 “บัง ชีฮยอก” ถือครองความมั่งคั่ง 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ! (73,300 ล้านบาท) และอยู่ในลำดับที่ 1,617 ของมหาเศรษฐีโลกวิถีการบริหารสู่บริษัทบันเทิง 2 ล้านล้านวอน! การวิเคราะห์และวิสัยทัศน์ตลาด IDOL“บัง ชีฮยอก” ซึ่งในอดีตเคยทำงานเป็นนักแต่งเพลงให้กับค่าย JYP มาก่อน จับจ้องพัฒนาการของอุตสาหกรรมไอดอลมาอย่างยาวนาน โดยเขาเชื่อมั่นว่า วงการไอดอลเกาหลีได้พิสูจน์ความสำเร็จแบบมหาศาลในเชิงพาณิชย์ไปแล้ว ตั้งแต่ช่วงยุค 90 จากความสำเร็จของ Seo Taiji and Boys และ H.O.T ด้วยเหตุนี้ เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงยุค 2000 กลุ่มก้อนแฟนคลับที่เติบโตมาพร้อมกับศิลปินเหล่านั้น ที่ค่อยๆ ขยายตัวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ย่อมต้องมีความคาดหวังกับ “มาตรฐานคอนเทนต์ที่ตัวเองพึงพอใจมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน” แล้วอะไรคือ “มาตรฐานคอนเทนต์” ที่เหล่าแฟนคลับต้องการจากกลุ่มไอดอลมากที่สุด? คำตอบของ “บัง ชีฮยอก” คือ การเต้นที่พร้อมเพรียงสุด Perfect ในแบบจัดหนักจัดเต็มแบบ และต้องมีโมเมนต์สุดเท่เป๊ะปังมาอวดต่อหน้าเหล่าแฟนคลับให้ได้ ซึ่งผลจากการวิเคราะห์ดังกล่าว ส่งผลสมาชิกทุกคนของ BTS กลุ่มศิลปินที่โด่งดังที่สุดในเวลานี้ ต้องฝึกซ้อมการเต้นอย่างหนักหน่วงซ้ำไปซ้ำมาก่อนเดบิวต์ ตั้งแต่ 10.00 น. จนถึง 22.00 น. วนลูปแบบนี้ไปเรื่อยๆ ในทุกวัน โดย V เรียกการซ้อมเต้นของวงในช่วงเวลานั้นว่า…“การเต้นกลุ่มเป็นองค์ประกอบที่จำเป็นของวงไอดอลอยู่แล้วครับ แต่การเต้นของเราดุเดือดยิ่งกว่านั้นเยอะ!” เมื่อทุนน้อย ต้องเลือกทั้งวิธีและกระสุนที่เหมาะสมเนื่องจาก Big Hit ในอดีตยังเป็นเพียงค่ายเพลงเล็กๆ เมื่อเปรียบเทียบกับเหล่า Big 3 ฉะนั้นการทุ่มเม็ดเงินสำหรับการโปรโมตศิลปินผ่านสื่อหลักย่อมมีอย่างจำกัด ดังนั้น วิธีคิดของ “บัง ชีฮยอก” คือ เปลี่ยนการใช้สื่อดั้งเดิมไปสู่โลกออนไลน์ และให้เหล่าสมาชิก BTS ทำคลิปเปลือยชีวิตประจำวันด้วยตัวเอง เพื่อบอกเล่าความในใจต่างๆ โดยเน้นไปที่ความ Real ในฐานะศิลปินฝึกหัดเป็นหลัก เพื่อให้เกิดความใกล้ชิดและสะสมเหล่าแฟนคลับให้มากขึ้น ขณะเดียวกันยังมีการเน้นเรื่องการบริหารจัดการ การใช้คอนเทนต์ในรูปแบบที่เหมาะสมกับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวคิด “ปล่อยอิสระให้ศิลปินเป็นผู้ทำคอนเทนต์ด้วยตัวเองนี้ด้วย” พร้อมกับวางเป้าหมายสำคัญเอาไว้ว่า “จำนวนผู้ติดตามจะต้องเพิ่มขึ้นในทุกครั้งที่ BTS ไปปรากฏตัวตามรายการเพลงต่างๆ” หรืออย่างน้อยที่สุด ทำให้แฟนๆ ต้องกลับไปฟังเพลงของวงอีกสักหนึ่งรอบให้ได้ ซึ่งวิธีการนี้ “แตกต่าง” กับเหล่าไอดอลเกาหลีในช่วงเวลานั้น ที่มักเน้นไปที่การออกอากาศกระบวนการออดิชันเพื่อคัดเลือกสมาชิกในรายการเคเบิลทีวีหรือรายการเรียลลิตี้เพื่อโปรโมตการเดบิวต์เป็นหลัก รู้หรือไม่? BTS เปิดบล็อกและทวิตเตอร์อย่างเป็นทางการในเดือนธันวาคม ปี 2012 หรือเกือบ 6 เดือนก่อนเดบิวต์ โดย Account ทั้งหมดถูกดูแลโดยเหล่าสมาชิก BTS กันเอง Another Level “มาตรฐานอีกระดับ” (Another Level) คือ สิ่งที่ “บัง ชีฮยอก” พูดตั้งแต่เริ่มแนะนำ BTS ออกสู่สายตาสาธารณชน จวบจนกระทั่งถึงในปัจจุบัน และนั่นไม่ต่างอะไรกับ “เป้าหมายสำคัญ” ที่อดีตค่ายเพลงเล็กๆ แห่งนี้ จะต้อง “ปีนป่าย” ไปให้ถึงให้จงได้ ซึ่งเป้าหมายนี้...ไม่เพียงแต่จะต้องเป็นอันดับหนึ่งในประเทศเกาหลีใต้ให้ได้เท่านั้น แต่มันถึงขั้นจะต้องเป็นอันดับหนึ่งของโลกเลยทีเดียว ดังนั้น “เรา” จึงได้เห็นว่า ผลงานเพลงจาก HYBE จึงมักต้องเน้นไปที่วิธีการสำหรับการตอบสนองต่อ “ตลาดโลก” โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นตลาดดนตรีที่ใหญ่ที่สุดในโลกมากขึ้นตามลำดับโดย “พีดี” เคยหล่นความเห็นในประเด็นนี้เอาไว้ว่าอย่างน่าสนใจว่า…“เป็นเรื่องจริงที่ K-POP เติบโตอย่างรวดเร็วในสหรัฐอเมริกา ซึ่งแตกต่างจากตลาดอื่นๆ ที่เราไม่ได้เห็นการเติบโตที่มากมายถึงขนาดนี้ ดังนั้น เราจึงรู้สึกว่าการเติบโตของ K-POP ในลำดับถัดไป คำตอบอยู่ที่สหรัฐอเมริกา”ทักษะการบริหารงานและใจของเหล่าศิลปินไอดอล เบื้องหลังการได้มาซึ่งเพลงสุดฮิตอย่าง DNA นั้น รู้หรือไม่? ว่ามันมาจากจุดเริ่มที่ Jimin บอกกับผู้เป็นทั้งเจ้านายและผู้แต่งเมโลดี้เพลงนี้หลังได้ยินเวอร์ชันแรกอย่างตรงไปตรงมาว่า… “ผมไม่ชอบมันเลยครับ” หากแต่หลังจาก “บัง ชีฮยอก” ได้รับฟัง สิ่งที่ทำคือ…จ้องหน้ามอง Jimin แล้วถามกลับอย่างตรงไปตรงมาว่า “นายไม่ชอบเมโลดี้เพลงนี้เหมือนกันหรือ?” และเมื่อได้ยินอีกครั้งว่า “ใช่ครับ” “พีดี” ตอบกลับไอดอลหนุ่มในสังกัดไปเพียงว่า… “งั้นวันนี้พอแค่นี้ กลับได้เลย ไม่ต้องอัดเสียงแล้ว เลิกงานได้เลย” ฟังมาถึงตรงนี้ดูเหมือน Jimin น่าจะ “งานเข้า” เพราะดันไปวิพากษ์วิจารณ์ผลงานของผู้เป็นเจ้านายและโปรดิวเซอร์ แต่ใครจะเชื่อ เพียงคำว่า “ผมไม่ชอบครับ” และ “ใช่ครับ” กลับทำให้ “เจ้าของค่าย” กลับไปแต่งเมโลดี้เพลง DNA ขึ้นมาใหม่ จนกระทั่งกลายเป็นเพลงสุดฮิตที่สุดเพลงหนึ่งของ BTS ในเวลาต่อมาซึ่งทั้งหมดนั้นมันเริ่มต้นจาก “การเปิดใจรับฟังความจริงที่ตรงไปตรงมาจากลูกน้อง และนำไปปรับใช้เพื่อให้เกิดวิธีการที่เหมาะสม” หรืออีกหนึ่งตัวอย่างคลาสสิกคือการที่ “พีดี” เลือกใช้ เพื่อจูงใจให้เหล่าสมาชิก BTS รีดเค้นความสามารถของตัวเองให้เกินขีดจำกัด คือ การให้ “Jung Kook” ที่ยังเป็นเพียงศิลปินฝึกหัดก่อนเดบิวต์ ไปเรียนเต้นเพิ่มเติมที่สหรัฐอเมริกา โดย “Jung Kook” พูดถึงช่วงเวลานั้นเอาไว้ว่า…“บริษัทบอกกับผมว่า ผมยังปล่อยของออกมาไม่ได้ ไม่รู้เป็นเพราะช่วงที่มาเป็นศิลปินฝึกหัดผมยังไม่มีเป้าหมายอะไรเท่าไรหรือเปล่า…เขาบอกว่าผมเลียนแบบได้หมดและมีพรสวรรค์แต่กลับดูเหมือนขาดอะไรไป นิสัยของผมน่าจะทำให้แสดงความรู้สึกออกมาไม่ได้เต็มที่ บริษัทก็เลยส่งผมไปเพื่อให้ได้สัมผัสประสบการณ์ตรงมั้งครับ” และเมื่อกลับมาจากสหรัฐฯ “Jung Kook” ที่ในเวลานั้นอยู่ในวัยนักเรียนมัธยมต้นก็เปลี่ยนแปลงไปเป็นคนละคน ไม่ว่าจะเป็นทั้งบุคลิกและสไตล์การเต้น และเป็น “ศิลปินที่คุณหลงรักในปัจจุบัน”หรืออีกหนึ่งวิธีการที่น่าสนใจ เพื่อไปสู่การตอบสนองต่อ Concept “กลุ่มเด็กหนุ่มผู้ต่อต้านอคติและการกดขี่ข่มเหงที่มีต่อวัยรุ่น” ของ BTS รวมถึง สร้างผลงานในอุดมคติที่ทำให้ทั้งวงการฮิปฮอปและอุตสาหกรรมไอดอลพึงพอใจ ก็คือ การฝากฝังให้ RM, SUGA และ j-Hope ที่มาจากสายฮิปฮอป รับหน้าที่แต่งคำร้องของ BTS ด้วยตัวเอง ตั้งแต่อัลบั้มแรก! เพื่อหวังให้เป็น “กระบอกเสียงให้กับเหล่าวัยรุ่นที่ยังก้าวไม่พ้นเลขหนึ่ง” อย่างแท้จริงซึ่งถึงแม้ว่า...วิธีการนี้อาจจะยากลำบากและต้องใช้ความอดทนรวมถึงระยะเวลานานพอสมควรเพื่อให้สมาชิก BTS ยอมรับแนวทางนี้ “ด้วยความยินยอมพร้อมใจ” แต่ในที่สุด แนวทางนี้ก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า นี่คือ “ความสำเร็จที่ยั่งยืน”รู้หรือไม่? RM เมื่อตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 สามารถทำคะแนนในการสอบจำลองเข้ามหาวิทยาลัยได้สูงสุด หรือถือเป็นหนึ่งในสัดส่วนเพียง 1% ของนักเรียนทั่วประเทศเกาหลีใต้เท่านั้นที่ทำได้! วิธีแก้ไขปัญหาด้วยการเข้าถึงปัญหาอย่างแท้จริง หลังปลุกปั้นให้ BTS กลายเป็นวงที่โด่งดังในระดับโลก แต่ในเมื่อเวลานั้นมันก็เข้าใกล้การสิ้นสุดสัญญา 7 ปี ฉบับแรกด้วยเช่นกัน ในท่ามกลางความกดดันของเหล่าสมาชิกภายในวง ในเรื่องว่าจะต่อหรือไม่ต่อสัญญาจนเกิดความตึงเครียดอย่างหนัก โดย j-Hope ได้พูดถึงช่วงเวลานั้นเอาไว้ว่า...“เหมือนนรกเลยครับ ตั้งแต่ทำงานเป็น BTS มา เป็นครั้งแรกเลยที่บรรยากาศตึงเครียดจนผมคิดว่า เราจะทำสิ่งเหล่านี้ต่อไปได้หรือ เพราะแม้แต่ตอนฝึกซ้อมยังอ่อนแรงกันเลย สิ่งที่ต้องทำมีมากมาย แต่เรากลับไม่มีสมาธิฝึกซ้อม ทั้งๆ ที่เราไม่ใช่คนแบบนั้นแท้ๆ ตอนนั้นผมถึงรู้สึกว่าพวกเราเข้าขั้นวิกฤติแล้วจริงๆ”แล้ว “บัง ชีฮยอก” แก้ปัญหานี้อย่างไร? “การทำจิตบำบัดเพื่อเปลี่ยนความกลัวให้เป็นทัศนคติแง่บวก” “พีดี” จัดการกำหนด Concept อัลบั้ม Love yourself ‘Tear’ ในเวลานั้นเอาไว้ว่า เป็นการถ่ายทอดความรักที่ BTS มีต่อแฟนๆ รวมถึงตัวตนของพวกเขาในฐานะศิลปิน และในฐานะคนๆ หนึ่งที่อยู่เบื้องหลังความรักเหล่านั้น เพื่อให้ สมาชิก BTS ทุกคนได้พรั่งพรูอารมณ์ของตัวเองออกมาในระหว่างการทำอัลบั้มนี้ออกมาให้หมดสิ้น ซึ่งแตกต่างจาก 2 อัลบั้มแรก (The most beautiful moment in life และ Wing) ที่เน้นไปที่การบอกเล่าชีวิตของศิลปินฝึกหัดและสะท้อนตัวตนของแต่ละคนซึ่งการได้พรั่งพรูความรู้สึกทั้งหมดของตัวเองออกมาในอัลบั้ม Love yourself ‘Tear’ นี้เอง ได้นำไปสู่การทำให้เหล่าสมาชิก BTS ผ่อนคลายลง จนกระทั่งทุกคนตัดสินใจต่อสัญญาพร้อมกันได้ในที่สุด รู้หรือไม่? FAKE LOVE เพลงไตเติลจาก อัลบั้ม Love yourself ‘Tear’ โดยเฉพาะเนื้อเพลง “เพื่อเธอแล้ว แม้ฉันจะเศร้า ก็ยังแสร้งทำเป็นสุขใจได้” ซึ่งถูกตีความในเวลาต่อมาว่า แม้จะกำลังทุกข์ใจแต่ BTS จะต้องทำงานอย่างเต็มที่เพื่อเหล่า ARMY นั้น Jimin เคยบอกเล่าเอาไว้ว่า… “ไม่รู้ว่าสถานการณ์วงเราเป็นไปตามอัลบั้มหรือเปล่านะครับ แต่อันที่จริงก็เป็นแบบนั้นตลอด (หัวเราะ) ทุกครั้งที่ทำประเด็นหม่นหมอง ก็มักจะตกอยู่ในสถานการณ์หม่นหมองกันจริงๆ สงสัยพวกเราคงแต่งเพลงกันตามสถานการณ์ละมั้งครับ (หัวเราะ) ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน กราฟิก : Anon Chantanant