กระแสความคลั่งไคล้ที่มีต่อสนีกเกอร์ "New Balance รุ่น 530" ซึ่งกลายเป็นไอเทมสุดสำคัญสำหรับการแต่งกาย "แฟชั่น Y2K" ของผู้คน ณ ปี 2023 จนกระทั่งทำให้เมื่อมีการประกาศวางขายตามช็อปในประเทศไทยเมื่อใด....ก็ Sold out แทบจะในทันทีเมื่อนั้น....
เพราะเหตุใดไอเทมสุดชิคสำหรับ “คุณ” ที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่ และเคยเกิดอาการอยากกรีดร้องอย่างชอกช้ำทุกครั้งที่ได้รับคำตอบเมื่อถึงคิวที่ได้ซื้อหน้าช็อปว่า “ไซส์ของคุณหมดแล้วค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ” ทั้งๆ ที่อุตส่าห์ตื่นแต่เช้าไปเข้าคิวซื้อตั้งแต่ห้างยังไม่เปิด มันมีที่มาที่ไปจากอะไรกันแน่? วันนี้ทั้ง “คุณ” และ “เรา” มาร่วมกันกุมมือเป็นกำลังใจและปลอบประโลมซึ่งกันและกัน ก่อนจะไปพยายามค้นหา “คำตอบ” ในเรื่องนี้กันดู...
...
New Balance 530 :
รองเท้า New Balance รุ่น 530 เปิดตัวในปี 1992 โดยมันเป็นรองเท้าที่สร้างขึ้นมาสำหรับการวิ่งออกกำลังกาย โดยมีการชูจุดเด่นเรื่องเทคโนโลยี ABZORB ที่พื้นรองเท้าชั้นกลางช่วยลดแรงกระแทกใต้ฝ่าเท้า ส่วนพื้นรองเท้าชั้นนอกช่วยยึดเกาะพื้นผิวได้ดีเพื่อให้เกิดความสบายในทุกการก้าวเดิน ขณะที่ด้านการออกแบบจะที่เน้นไปที่ความเรียบหรูดูแพง และสวมใส่สบาย เพื่อให้เป็นรุ่น Unisex ที่สามารถเข้าถึงได้ทั้งชายและหญิง
New Balance 530 สู่รองเท้าแฟชั่น :
ด้วยความที่ New Balance 530 เป็นรองเท้าวิ่งที่สวมใส่สบายอีกทั้งในช่วงหลายปีที่หลังมานี้ Sport Sneaker ได้กลายเป็นเทรนด์ฮิตสำหรับผู้คน มันจึงถูกหยิบฉวยให้กลายร่างจาก “รองเท้ากีฬา” มาเป็นอีกหนึ่ง “แฟชั่นไอเทม” ในที่สุด
หากแต่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ New Balance 530 กลายมาเป็นเทรนด์สุดฮิตในช่วงนี้ได้ แน่นอนว่าย่อมหนีไม่พ้น การมาถึงของกระแสแฟชั่น “Y2K” ในเมื่อ New Balance 530 เป็นร่าง Retro มันจึงเข้ากันได้ดีกับเสื้อผ้าย้อนยุค 90 ปลายๆ อย่างเช่น เสื้อแจ็กเก็ต หรือเสื้อยืดโอเวอร์ไซส์ และกางเกงยีนส์หลวมๆ ขาบาน ซึ่งจะเข้าคู่กันได้ดีกับรองเท้าผ้าใบทรงหนาที่จะโผล่พ้นขอบกางเกงยีนส์ตัวโคล่งนี้ออกมา
และแน่นอนเมื่อเหล่าอินฟูลเอนเซอร์เริ่มนำมันมา Mix and Match แล้วแชร์ลงไปในโลกโซเชียลมีเดียมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ มันจึงค่อยๆ กลายเป็น “สนีกเกอร์” ที่เหล่าผู้คนกรีดร้องคร่ำครวญอยากได้มันมาครอบครองสักคู่ในท่ีสุด
New Balance กับ Made in America :
แบรนด์ New Balance มีจุดกำเนิดที่เมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ (Massachusetts) มาตั้งแต่ปี 1906 โดยมีขนบอันแนบแน่นในการยึดถือปรัชญา “Made in America” เพื่อเน้นหนักในเรื่องของคุณภาพผลิตภัณฑ์ และสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเพียงไม่กี่แบรนด์กีฬาในโลกที่ยังคงการผลิตสินค้าในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก
...
โดยปัจจุบันมีโรงงานอยู่ที่รัฐแมสซาชูเซตส์ 2 แห่ง และรัฐเมน (Maine) อีก 3 แห่ง และในสหราชอาณาจักรอีก 1 แห่ง โดยทั้ง 6 โรงงานนี้จะทำหน้าที่ผลิตรองเท้ากีฬาโดยเฉพาะบรรดาสนีกเกอร์รุ่นสุดฮิตต่างๆ เป็นหลัก โดยคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 70% ของยอดขายสนีกเกอร์ในสหรัฐฯ ส่วนโรงงานในประเทศจีนจะทำหน้าที่ในการผลิตเสื้อยืดและชุดกีฬาเป็นหลัก
สำหรับยอดขายผลิตภัณฑ์รวมทั่วโลกของ New Balance เมื่อปี 2021 อยู่ที่ประมาณ 4,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยปัจจุบัน New Balance เป็นแบรนด์สนีกเกอร์ที่มียอดขายในอันดับ 5 ของสหรัฐอเมริกา โดยครองส่วนแบ่งตลาดประมาณ 3.4% ตามหลังแบรนด์ยักษ์ใหญ่ อย่าง Nike, Adidas, Jordan และ Skechers
จาก Dad Shoes สู่ Cool Shoes :
“โจ เพลสตัน” (Joe Preston) ประธาน และ CEO New Balance Athletics วางเป้าหมายรายได้ของบริษัทในปี 2023 เอาไว้ที่ 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังรายได้ของบริษัทเติบโตขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมา จากการเปลี่ยนกลยุทธ์ทางการตลาดครั้งสำคัญ นั่นคือ การร่วมเป็นพันธมิตรกับ Aime Leon Dore หรือ ALD แบรนด์สายสตรีทแวร์ที่กำลังสุดร้อนแรง ที่เข้ากลายร่าง “รองเท้าดีไซน์รุ่นพ่อที่สุดเทอะทะ” ให้กลายมาเป็น “สนีกเกอร์ Retro สุด Cool” ได้สำเร็จ
...
โดยจุดเริ่มต้นสำคัญที่ทำให้ "New Balance และพันธมิตร" กลายมาเป็นจุดสนใจของบรรดา Sneakerhead ทั่วโลกคือ "สนีกเกอร์ New Balance 550" ที่ถูกปล่อยออกมาในปี 2020 โดยสนีกเกอร์รุ่นนี้ซึ่งถูกออกแบบโดย “เท็ดดี้ ซานทิส” (Teddy Santis) ผู้ก่อตั้ง ALD (ต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็น Creative Director ของ New Balance ในปี 2021) ถูกขายหมดเกลี้ยงในพริบตา จนกระทั่งกลายเป็น อีกหนึ่ง Rare Item ที่ทุกคนปรารถนา โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร โดยปัจจุบันราคา Resale ของ New Balance 550 ใน StcokX มีราคาพุ่งสูงจากราคาขายปกติถึง 300%! ทำให้จากนั้นเป็นต้นมา...ทุกสายตาจากเหล่า Sneakerhead จึงเริ่มจับจ้องมาที่วันประกาศวางจำหน่ายสินค้าของ New Balance มากขึ้นและมากขึ้นทุกทีๆ โดยเฉพาะในโลกโซเชียลมีเดียที่ New Balance ติดเทรนด์การค้นหาของ Google เพิ่มสูงขึ้นในทุกๆ ปี
...
โดยปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เองได้เปลี่ยนรองเท้าผ้าใบซึ่งในอดีตเป็นที่เป็นนิยมในกลุ่มผู้ชายอายุเฉลี่ยระหว่าง 25-35 ปี หรือมากกว่านั้นในสหรัฐฯ และยุโรป ให้กลายมาเป็นไอเทมสุดชิคของทั้งหญิงและชายในวัยเฉลี่ยแค่ 18-30 ปี ได้สำเร็จในปัจจุบัน
โดยหลังจากประสบความสำเร็จในการจับมือกับ ALD เป็นต้นมา New Balance ได้กลายเป็นแบรนด์เนื้อหอมที่ใครๆ ก็อยากเป็นพันธมิตรด้วย ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงสามารถมีแม่เหล็กดูด "JJJJound" สตูดิโอออกแบบชื่อดังที่ว่ากันว่า “มีความพิถีพิถันในการคัดเลือกแบรนด์พันธมิตรเป็นอย่างมาก” รวมไปจนกระทั่งถึง "Salehe Bembury" นักออกแบบสนีกเกอร์ชื่อดัง เข้ามาร่วมงานได้สำเร็จจนกระทั่งทำให้แบรนด์กลายเป็นที่น่าจับตาในตลาดสนีกเกอร์ที่โตวันโตคืนในปัจจุบันไปในที่สุด!
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง