“ผมขอยอมรับและเคารพการตัดสินใจของ Academy”
ถ้อยคำแสดงการยอมรับผิดของ "วิลล์ สมิธ" (Will Smith) นักแสดงผู้ใช้อารมณ์ชั่ววูบสร้าง “ตราบาป” ให้กับชีวิตในวันที่เขารุ่งโรจน์ที่สุดในเส้นทางสู่ดวงดาว บนเวทีการประกาศผลรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 94 ประจำปี 2022 เมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

ซึ่ง...“เรา” คงไม่ต้องย้อนความกันแล้วมั้ง...ว่า บนเวทีวันนั้นมันเกิดอะไรขึ้น?

โดย Megastar ที่เพิ่งก้าวขึ้นคว้ารางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยมคนล่าสุด ถูก Academy ประกาศ “แบน” ห้ามเข้าร่วมในทุกๆ งานที่ Academy จัด เป็นเวลานานถึง 10 ปี นับตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน 2022 เป็นต้นไป ทำให้ในปีหน้าประเพณีการแจกรางวัลออสการ์ ที่นักแสดงชายยอดเยี่ยมในปีที่ผ่านมา จะเป็นผู้ขึ้นมาประกาศและมอบรางวัลให้กับนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในปีถัดไป ถึงคราวต้อง “เปลี่ยนแปลง” ไปอย่างช่วยไม่ได้

...

และถึงแม้ว่า "วิลล์ สมิธ" จะไม่ถูกตัดสิทธิ์การเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ แต่การถูก “แบน” ไม่ให้เข้าร่วมงานยาวนานถึงขนาดนั้น โอกาสที่เขาจะก้าวเดินขึ้นไปบนเวทีเพื่อรับรางวัลออสการ์เป็นครั้งที่ 2 อย่างเกริกเกียรติ (จริงๆ) มันคงอาจจะเป็นไปได้ยากขึ้น

เพราะปัจจุบัน วิลล์ สมิธ อายุ 53 ย่างเข้า 54 ปีเข้าให้แล้ว และหากรวมเข้ากับความเสื่อมทรามลงของชื่อเสียงจากเหตุการณ์โลกไม่ลืมในค่ำคืนนั้น อาจสร้าง “ทัศนคติในแง่ลบ” สำหรับคณะกรรมการของ Academy ในการลงคะแนนเพื่อ “ออสการ์” ตัวที่สองในชีวิตของเขาก็เป็นได้

นอกจากนี้สตูดิโอต่างๆ อาจหยุด หรือชะลอโปรเจกต์ที่มีชื่อของเขา ออกไปอีกไม่รู้จะนานเท่าไร โดยเฉพาะกับโปรเจกต์ Bad Boys 4 แฟรนไชส์ทำเงินทำทองของ วิลล์ สมิธ ที่ล่าสุดแม้จะมีข่าวว่า สตูดิโอ Sony ได้ส่งบทให้เขาได้พิจารณาแล้ว แต่หลังจากเกิดเรื่องอื้อฉาวขึ้น ทุกอย่างก็ถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด

ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง...ขนาดแฟรนไชส์ระดับบล็อกบลัสเตอร์อย่าง Bad Boys ยังยอม “ถอยห่าง” นั่นย่อมแปลว่าโอกาสที่ “บทดีๆ” ที่อาจช่วยผลักดันให้ฟื้นคืนจากความตกต่ำได้ ย่อมถูกส่งมาถึงมือของ วิลล์ สมิธ น้อยลงๆ เรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน

หลังตบหน้า คริส ร็อก ชื่อเสียง วิลล์ สมิธ ลดลงแค่ไหน :

ผลสำรวจความเห็นที่จัดทำโดย Morning Consult บริษัทสำรวจและทำวิจัยข้อมูลชื่อดัง ในกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ใหญ่ (Adults) ชาวอเมริกันจำนวน 6,609 คน ระหว่างวันที่ 30-31 มีนาคม 2022 พบว่า ความนิยมในตัววิลล์ สมิธ หลังเหตุการณ์สุดอื้อฉาว อยู่ที่ 50% ซึ่งลดลงถึง 30% จากผลสำรวจในเดือนมกราคม 2020 ที่ได้รับความนิยมสูงถึง 80% และ 77% ในเดือนกันยายน 2018

และสำหรับพฤติกรรมตบสะท้านโลกของวิลล์ สมิธ บนเวทีออสการ์ นั้น มากถึง 66% มองว่าเป็นพฤติกรรมที่ค่อนข้างไม่เหมาะสม หรือ ไม่เหมาะสมมาก ในขณะที่ 26% เห็นด้วย และ 9% ไม่แสดงความเห็น นอกจากนี้มากกว่า 50% ไม่เชื่อคำขอโทษด้วยน้ำตานองหน้าของ วิลล์ สมิธ ในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์หลังได้รับรางวัลออสการ์ เนื่องจากไม่มีการกล่าวขอโทษต่อคู่กรณีโดยตรงอย่าง คริส ร็อก (Chris Rock)

...

โอกาสสำหรับการ Comeback ของ วิลล์ สมิธ :

1.กอบกู้ภาพลักษณ์ ด้วยการคืนดีกับ คริส ร็อก

นักการตลาดส่วนหนึ่งเชื่อมั่นว่า ด้วยความเป็นนักแสดงระดับแม่เหล็กและสามารถรักษาภาพลักษณ์ที่ดีมาได้อย่างยาวนาน “โอกาส” สำหรับการ Comeback จึงยังไม่ถึงกับถูก “ปิดกั้น” จนกระทั่ง มองไม่เห็นแสงสว่างเสียทีเดียว เพราะ วิลล์ สมิธ ยังคงมีทางเลือกสำหรับ “กอบกู้ชื่อเสียง” ที่เสียหายไปได้ โดยเฉพาะหากเขาสามารถปรากฏตัวพร้อมกับ “คริส ร็อก” ในสถานที่สาธารณะ พร้อมกับแสดงท่าทีให้ทุกคนเชื่อมั่นได้ว่า “คืนดีกันได้แล้วนะ”

2.อดทน อดทน และอดทน

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเมื่อใดก็ตามที่มีโอกาสกลับมาแสดงภาพยนตร์ได้อีกครั้ง สิ่งที่ “วิลล์ สมิธ” จะต้องเผชิญหลังจากนี้เป็นต้นไปคือ “คำถามกวนใจซ้ำไปซ้ำมา” และข่าวสารพัดกอสซิปที่ว่า มีปัญหากับใครในกองถ่ายจนกระทั่งสุ่มเสี่ยงจะเกิดปรากฏการณ์ “ตบหน้าสะท้านโลกภาค 2” ได้อีกหรือไม่?

...

และนั่นคือ “จุดวัดใจ” ครั้งสำคัญ เพราะหากเขาพลาดพลั้งควบคุมอารมณ์ไม่อยู่อีกเป็นครั้งที่ 2 ทุกอย่างก็คง "พังครืน"

3.สร้างความเชื่อมั่นให้กับสตูดิโอ :

การพิจารณาถึง “ความเสี่ยง” กรณีนำตัว วิลล์ สมิธ มาร่วมโปรเจกต์ใดๆ นับจากนี้คือสิ่งที่สตูดิโอต่างๆ ในฮอลลีวูดนำมาพิจารณาเป็นลำดับแรก ซึ่งนั่นแปลว่า “อิทธิพล” ที่เขาเคยมีเหนือสตูดิโอต่างๆ  ย่อม “ลดลง” แม้ว่าเขาเพิ่งจะได้ออสการ์ “เครื่องรางศักดิ์สิทธิ์” สำหรับอัปค่าตัวมาสดๆ ร้อนๆ ก็ตาม

ทำให้ความท้าทายสำหรับประเด็นนี้คือ เขาจะยอม “ลดค่าตัว” เพื่อเล่นหนังทุนต่ำลงนิดหน่อย ตามข้อเสนอของสตูดิโอในช่วง “ขาลง” นี้ได้หรือไม่ และจะอธิบายกับสตูดิโอต่างๆ อย่างไร ว่าการยอมลดค่าตัวที่ว่านี้เป็นเพียง “ชั่วครั้งชั่วคราว” ไม่ใช่ “ถาวร”

4.กฎของเซเลบ ข่าวฉาวถือเป็นข่าวดี :

นักการตลาดส่วนหนึ่งเคยวิเคราะห์เอาไว้ว่า ปรากฏการณ์ตบสะท้านโลก ไม่น่าจะส่งผลกระทบใดๆ ต่อ วิลล์ สมิธ มากนัก เนื่องจากสำหรับเหล่าเซเลบแล้วมีกฎอยู่ว่า No news is no news (การไม่มีข่าว ถือเป็น ข่าวดี) Good news is good news (ข่าวดี ก็คือ ข่าวดี) และ Bad news is Great news (ข่าวฉาว คือ ข่าวดี)

...

นั่นเป็นเพราะเรื่องอื้อฉาวของคนดังมักจะไปกระตุก “ต่อมความสนใจใคร่รู้” ของคนทั่วๆ ไปได้อยู่เสมอ และสำหรับกรณีของ วิลล์ สมิธ ก็มีปรากฏการณ์ที่น่าจะยืนยัน “ข้อเท็จจริง” ในเรื่องนี้ได้เช่นกัน เพราะหลังจากเกิดเรื่องเกิดราวขึ้น จู่ๆ หนังสืออัตชีวประวัติที่มีการพูดถึงความรุนแรงภายในครอบครัว เนื่องจากพ่อของเขาชอบทำร้ายร่างกายแม่ จนกระทั่งชั่ววูบของความคิด เขาเคยอยากฆ่าบิดาของตัวเอง รวมถึงการที่พ่อหนุ่มอารมณ์ดีคนนี้ในช่วงวัยรุ่นเคยอยากฆ่าตัวตาย เพราะทนรับมือกับความโด่งดังของตัวเองไม่ไหว ที่มีชื่อว่า “WILL” ซึ่งวางจำหน่ายมาตั้งแต่เมื่อปีแล้ว ก็กลับมาขายดิบขายดีจนติดอันดับ Best Seller ในสหรัฐอเมริกาได้อีกครั้ง โดยเฉพาะในช่วง 7 วันแรก หลังเรื่องอื้อฉาวบนเวทีออสการ์ครั้งที่ 94!

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :