จะให้เป็นแบบนี้ทุกปีจริงๆ หรือ..?
ที่อุบัติเหตุส่วนใหญ่บนท้องถนนบ้านเรามาจาก “เมาแล้วขับ”

จะปล่อยแบบนี้ต่อไปอย่างนั้นหรือ ที่คนเมาแล้วขับ เกือบทั้งหมดคิดว่า “ไม่เป็นไร” ตราบใดที่ยังไม่เกิดเหตุร้ายกับเรา...?

เขาเคยเป็นหนึ่งคนที่คิดแบบนี้ จนกระทั่งเกิดเหตุพลิกผันที่ทำให้เขาจำฝังใจไปตลอดกาล

ครั้งหนึ่งในชีวิต เคยยืนด้วย 2 ขาของตัวเอง
ครั้งหนึ่งในชีวิต เคยยืนด้วย 2 ขาของตัวเอง

นายศักดา บุญสุขศรี ชายพิการจากอุบัติเหตุ “เมาแล้วขับ” เมื่อ 20 ปีก่อน บอกกับทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ว่า เหตุการณ์ที่จำไม่ลืมครั้งนั้นเกิดขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคม 2540 ตนกินเหล้าอยู่ที่บ้าน จากนั้นจะขับรถจักรยานยนต์ไปซื้อของบางอย่าง ในใจคิดว่า “พอขับรถได้” เมื่อตัดสินใจขับออกไป ระหว่างทางเจอรถยนต์สวนมากะทันหัน ตนตัดสินใจหักหลบ รถพุ่งเข้าชนกำแพงอย่างแรง ซึ่งตรงนั้นคือซอยเข้าบ้านตนเอง ย่านท่าพระ ฝั่งธนบุรี

...

“หลังจากรถชน ผมสลบไป 7 วัน 7 คืน นอนพักรักษาตัว ที่ รพ.ศิริราช อีกเป็นปี ตอนแรกที่รักษาคุณหมอยังไม่ได้บอกอะไรมากบอกแต่เพียงว่า “กระดูกสันหลังหัก” ต้องรอรักษาด้วยการดามเหล็กเอาไว้ โดยตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุ ครึ่งท่อนด้านล่างก็ไม่ได้รับความรู้สึกอะไรอีก... เราคิดว่าคงไม่เป็นไร หากดามเหล็กไว้เดี๋ยวคงหาย กระดูกต่อกันได้เมื่อไหร่คงไม่ถึงขั้นพิการ”

แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่หวังไว้ไม่ได้เป็นเช่นนั้น... 

ศักดา บุญสุขศรี ประสบอุบัติเหตุจนหลังหัก
ศักดา บุญสุขศรี ประสบอุบัติเหตุจนหลังหัก

วันแล้ววันเล่า วันเวลาค่อยผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทุกวินาทีที่เข็มนาฬิกาเดินผ่านไป ค่อยๆ ทำลายความหวังของเขาลงทีละน้อย 

“นี่คงไม่ใช่อาการหลังหักธรรมดา...ทำไมขาเราไม่รู้สึก ทำไมหยิกขาตัวเองแล้วไม่รู้สึกเจ็บเลย..”

การรักษาทำไปอย่างต่อเนื่อง อาการด้านร่างกายค่อยๆ หายดี แต่ความรู้สึกตั้งแต่เอวจนถึงปลายเท้ากลับยังไม่รู้สึก 

วันเวลาผ่านไปจนครบ 1 ปีเต็ม ความหวังที่เคยคิดว่าจะหายดีเจือจางไปจนหมด กระทั่งคุณหมอเดินมาบอกว่า "คุณไม่สามารถกลับมาเดินได้แล้ว"

นี่คือสิ่งที่คิดไว้และเริ่มทำใจได้แล้ว..

เดินหน้าให้ความรู้ และ รณรงค์เมาไม่ขับ
เดินหน้าให้ความรู้ และ รณรงค์เมาไม่ขับ

"ความรู้สึกตอนที่หมอบอกกับผมนั้น แน่นนอนรู้สึกเจ็บปวด แต่ก็ทำใจมาสักระยะแล้ว.. เมื่อหันไปมองคนในบ้าน เห็นแม่ ที่ต้องมาคอยดูแล เรารู้สึกว่าอยู่แบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว จึงเริ่มคิดที่จะหางานทำ จะช่วยเหลือให้ได้ จะไม่เป็นภาระให้กับคนอื่นอีก!"

ในใจตั้งปณิธานไว้ และคุณศักดา ก็ทำได้จริงๆ

เขาตัดสินใจไปโรงเรียนสอนอาชีพคนพิการ ซึ่งเป็นหลักสูตรการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่พัทยา จ.ชลบุรี โดยตั้งใจเรียนอยู่ที่นาน 1 ปี กระทั่งจบ ตอนนี้เขาไม่ใช่คนพิการที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แล้ว แต่เขาคือผู้พิการที่สามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเอง หาเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้ 

...

หลังจากได้วิชาความรู้กลับมา คุณศักดา กลับมาเปิดร้านซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งสามารถซ่อมได้ทั้งหมด ทั้งตู้เย็น ทีวี วิทยุ เป็นต้น 

หลังจากเหตุการณ์ร้ายๆ เกิดขึ้น คุณศักดา เผยความรู้สึกว่า...หากย้อนเวลาใดวันนั้นก็คงไม่ออกไปไหน หากกินเหล้าก็ควรนอนอยู่ที่บ้าน

เขาให้คำมั่นว่า จะรณรงค์จนกว่าประเทศไทยไม่มีคนพิการจากอุบัติเหตุ
เขาให้คำมั่นว่า จะรณรงค์จนกว่าประเทศไทยไม่มีคนพิการจากอุบัติเหตุ

ปัจจุบัน คุณศักดา ได้เป็นอาสาสมัครช่วยรณรงค์ลดอุบัติเหตุ ในช่วงเทศกาลต่างๆ รวมถึงเทศกาลสงกรานต์นี้ ซึ่ง เราอยากให้ทุกคนได้ตระหนักว่าความประมาท การกินเหล้าขับ มันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ไม่อยากให้คนอื่นๆ ต้องมาพิการแบบเรา ต้องทรมาน ใส่ถุงฉี่ ถุงอึ เดินไม่ได้ หรือ เป็นคนทุพพลภาพ ซึ่งทุกวันนี้ทำต่อเนื่องมาแล้ว 14 ปี

...

“ผมก็คงทำต่อไปเรื่อยๆ ทำจนกว่าจะไม่มีคนพิการจากอุบัติเหตุ” นายศักดา กล่าวไว้ให้คิด 

ก่อนจะหยิบกุญแจรถ ก่อนจะออกจากบ้านคุณพร้อมหรือไม่.. คุณกินเหล้ามาหรือไม่ ถ้าจะเมาให้นอนอยู่ที่บ้านไม่ต้องไปไหน แล้วชีวิตคุณจะปลอดภัย คุณควรจะวางแผนในการดื่ม การกิน และการเดินทางให้ดี อย่าประมาท มิเช่นนั้น คุณอาจจะเป็นเหมือนผม หรือ ร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต

ด้วยความปรารถนา ดีจาก คุณศักดา

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน