“หากจ่าโอ๋ไม่มีคนช่วยให้มาปรึกษา ผมพร้อมจะช่วยเหลือ ส่วนใครที่ใหญ่ๆ แล้วมายุ่งเรื่องของผม ผมจะตามเช็กให้หมด ผมชื่นชมตำรวจกล้า มาเรียกร้องแบบนี้มันได้ใจผู้การฯวิสุทธิ์ มากเลยว่ะ!!”
นี่คือวลีแรกจากปาก ผู้การวิสุทธิ์ วานิชบุตร อดีตนายตำรวจมือฉมัง กูรูวงการสีกากี ที่กล้าพูด กล้าแฉ กล้าเปิดโปงความอยุติธรรม ซึ่งหลายครั้งที่ผ่านมา ได้นำข้อเท็จจริงมาเปิดเผยกับสังคม
เช่นเดียวกันกับเรื่องของ “จ่าโอ๋” หรือ จ.ส.อ.เลอศักดิ์ นนท์ขุนทด อดีต ผบ.หมู่ สส.สน.พหลโยธิน ตำรวจชั้นประทวนใจกล้า ที่หาญสู้ นำเอกสารเข้าร้องต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ หรือ ป.ป.ท. หลังถูกตำรวจระดับสารวัตร ใน สน.เดียวกัน ออกปากขอหักเบี้ยเลี้ยงกับตำรวจชั้นผู้น้อย ทั้งหมด 11 ราย เพื่อจัดซื้อ “แอร์” สร้างความอยู่เย็นเป็นสุขในห้องสืบสวน สน.พหลโยธิน
กระทั่ง...เรื่องราวบานปลาย จน พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช ผบช.น.ได้ลงนามคำสั่งย้าย 2 สารวัตร และ จ่าโอ๋ ไปปฏิบัติราชการพ้น สน.พหลโยธิน และไปประจำยัง สน.อื่นๆ คนละสถานี โดยให้เหตุผลว่า "อยู่ระหว่างสอบสวนและไม่ให้เกิดความแตกแยก"
...
เวลาแบบนี้..เชื่อว่า คนที่รู้ดีที่สุดก็ต้องเป็นตำรวจ ส่วนคนที่กล้าพูดในห้วงเวลานี้ ก็ต้องยกให้เขา "ผู้การวิสุทธิ์"
แค่ติดต่อไป ผู้การวิสุทธิ์ ก็เม้งแตกออกงิ้วทันที!
"เหตุการณ์ทำนองนี้มีจริง! ที่ผ่านมาอาจมีเรื่องที่หนักหน่วงกว่านี้!"
แค่ 2 คำแรก ก็ร้อนแรงแล้ว ก่อนจะกล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาเกิดขึ้นมาตลอด เห็นมาตั้งแต่ยังอยู่ยศร้อยตรี แต่..เหตุการณ์นี้นับว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ที่บอกว่าเล็กน้อยเพราะ ครั้งนี้บอกว่าเป็นขอ “ขอความร่วม” แต่อาจจะเป็นการ “ขอความร่วมมือแกมบังคับ” เพื่อเรี่ยไรเงินมาใช้เพื่อซื้อแอร์เพื่อส่วนรวม ซึ่งถือว่าเป็นเรื่อง “พอรับได้”
แต่...เจ้ากรรมดันมีแชตหลุดออกมา และมีคำที่ระบุว่า “ผู้ประกอบการขาดสภาพคล่อง..” นอกจากนี้ ยังมีนายตำรวจใหญ่บางคนบอกว่า จะซื้อแอร์ตัวหนึ่ง ต้องตั้งงบข้ามปี... “โอ๊ย..เจ้านี่ไม่รู้เรื่อง!!” (เสียงดังเหมือนฉุนๆ)
ผู้การวิสุทธิ์ กล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า คนที่พูดแบบนี้(เน้นเสียง) เหมือนปกป้องลูกน้องเกินไป เพราะระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ มีวิธีการสั่งซื้อสั่งจ้าง มีวิธีสอบราคา หรือ ประกวดราคา หากมีเรื่องที่เป็นเร่งด่วนก็สามารถสั่งซื้อได้
ยกตัวอย่างง่ายๆ “เงินศึกษาอบรมดูงาน” บางครั้งก็มีเหลือสามารถผันมาตรงนี้ได้ “ขอให้ทำอย่างสุจริต..ไม่มีใครว่าอะไรหรอก เพราะทำไปแล้วก็เป็นการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่มาติดต่อห้องสืบสวน เนื่องโรงพักเป็นส่วนของราชการ ก็ต้องใช้งบของราชการ”
แต่...ถ้างบมีปัญหาด้านข้อกฎหมายจริงๆ ระดับผู้กำกับต้องแก้ไขสถานการณ์ เชื่อว่าแอร์ตัวเดียว หรือ 2 ตัว ถือเป็นเรื่อง “ขี้ปะติ๋ว” บอกได้เลยว่าปัญหาแค่นี้คนระดับนี้ซื้อได้อยู่แล้ว ต่อให้ 10 ตัวด้วยซ้ำก็ยังไม่มีปัญหา..เอาเป็นว่า ผมพูดแค่นี้ทุกคนคงเข้าใจ!!
แต่หากปัญหานี้ ผู้กำกับแก้ไม่ได้... ก็ควรทำเรื่องเสนอระดับ เช่น ผู้กำกับ เสนอ รองผู้การฯ ส่งต่อไปผู้บังคับการฯ ไม่ใช่ให้ระดับ “สารวัตร” มาแก้ไขปัญหาด้วยการหักเงินเบี้ยเลี้ยงลูกน้อง..มันไม่ถูกต้อง ถ้าลูกน้องยินยอมก็ไม่เกิดปัญหา แต่ปัญหาเกิดเพราะเขาไม่ยินยอม
ผู้การวิสุทธิ์ พูดแทนใจ “จ่าโอ๋” ที่เขาไม่ยอมเพราะ...
1.ไม่ใช่หน้าที่เขา
2.หน่วยราชการก็ต้องใช้งบประมาณในการแก้ปัญหา
3.เขาไม่สมัครใจ!!
“เหตุผลข้อ 3 สำคัญที่สุด เมื่อเขาปรึกษากับเพื่อนร่วมงานหลายคนแล้ว..ปรากฏว่า เพื่อนร่วมงานอีก 10 คน เห็นด้วย จึงทำหนังสือร้องเรียนไปยัง ป.ป.ท.”
...
เตือน...ตั้งกรรมการสอบ “จ่าโอ๋” สตช. ไม่ควรทำ!
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ล่าสุดได้มีการตั้งกรรมสอบ "จ่าโอ๋" เรื่องการร้องเรียนข้ามหน่วย..
“เลอะเทอะ!” ผู้การวิสุทธิ์ ตอบสวนทันควัน... ขอฝากคำนี้ไปถึงผู้เกี่ยวข้อง ใช่...คุณมีสิทธิ..ผมไม่เถียง เพราะจ่าโอ๋ไม่ร้องตามขั้นตอน แต่ถามจริงๆ เถอะว่า หากร้องตามขั้นตอน เช่น
ระดับสารวัตร ร้องไปยัง รองผู้กำกับ หรือ ผู้กำกับ หากผู้กำกับไม่ดำเนินการ ก็ต้องร้องถึง ผู้การฯ และร้องขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึง สตช. แบบนี้จะได้ผลจริงหรือ...ตนขอถามแค่นี้..?
“การร้องเรียนแบบนี้ ส่วนตัวแล้วไม่เห็นด้วยเลย เพราะความเป็นจริง ยิ่งร้อง...ยิ่งเจ็บ ถามจริงจะได้รับความเป็นธรรมหรือ ผมเชื่อว่า..ผลลัพธ์ที่ได้อาจมี 2 แนวทาง คือ 1.โดนเกลี้ยกล่อมให้ยอม 2.ถูกบังคับขู่เข็ญให้จบเรื่อง กระทั่งสุดท้ายเรื่องเงียบ โดนขู่รังแก และที่ผ่านมาส่วนใหญ่ผู้บังคับบัญชามักมองข้ามหัวชั้นประทวนเสียด้วย.."
สิ่งที่ได้ คือ เรื่องอาจจะเงียบ หรือ อาจถูกขู่เข็ญรังแก ซึ่งเป็นปกติ ผู้บังคัญบัญชาส่วนใหญ่มักจะเข้าข้างระดับสารวัตร และมองข้ามชั้นประทวน...
...
ผู้การวิสุทธิ์ บอกว่าเรื่องนี้จ่าโอ๋คิดเหมือนตน ที่ตัดสินใจไปร้องเรียน หน่วยงานอื่นเพื่อให้แก้ปัญหา เพราะการถูกบังคับขู่เข็ญหักเงินไปซื้อแอร์ นั้น ตนเป็นตำรวจมาเกือบ 40 ปี เห็นมาเยอะ หากมีการร้องเรียนทำนองนี้กับผู้บังคับบัญชาสายตรง ร้องไปแล้ว...เจ็บทุกราย!
ผู้การวิสุทธิ์ ย้ำอีกครั้ง...
โยนทิ้งถังขยะได้แล้ว..ระเบียบที่ต้องร้องเรียนสายตรง เพราะใช้ไม่ได้จริง
ผู้การวิสุทธิ์ กล่าวต่อว่า จ่าโอ๋ มันคงนั่งคิด นอนคิด ตีลังกาคิด ปรึกษาเพื่อนๆ ก็แล้ว การร้องเรียนสายตรงนั้นอาจมีปัญหา จึงหันไปหา ป.ป.ท. ดังนั้น การนำประเด็นตรงนี้มาตั้งกรรมการสอบ จึงเป็นเรื่อง “เลอะเทอะ!” เป็นการใช้สมองคิดที่ไม่ไตร่ตรองเลย เป็นผลลบมากกว่าผลดี การทำแบบนี้คล้ายกับเป็นการสกัดกั้น ข่มขู่ คนกล้าที่กล้าพูดความจริง
“มึงร้องอย่างนี้ใช่มั้ย (พูดพลางชี้มือมาทางผู้สื่อข่าว) ก็ต้องตั้งกรรมการสอบวินัยมึง ทำแบบนี้ต่อไปใครที่ร้องเรียน.. ใครจะกล้าทำเพื่อส่วนรวม สำนักงานตำรวจฯทำแบบนี้ก็คงต้องตกเป็นจำเลยของสังคมต่อไป ให้ปฏิรูปตำรวจอย่างไร ก็ไม่เกิดผลหรอก"
ดังนั้น ระเบียงข้อนี้ ควร “โยนทิ้งถังขยะ” ได้แล้ว สตช. ควรเปิดกว้างให้เขาร้องเรียนที่ไหนก็ได้ เพราะระเบียบแบบนี้ทำไม่ได้จริง คนเป็นลูกพี่ควรจะปกป้องดูแลลูกน้อง ปกครองคนด้วยความเป็นธรรม ไม่ใช่มารีดไถลูกน้อง การเก็บระเบียบเน่าๆ แบบนี้ไว้ ผมถามว่า ทำเพื่อพวกพ้องตัวเองหรือไง
...
ล่าสุด มีการสั่งย้าย จ่าโอ๋ และ 2 สารวัตร ที่เกี่ยวข้องแล้ว...ทีมข่าวถามความเห็นผู้การวิสุทธิ์ ก่อนตอบว่า การสั่งย้ายที่เกิดขึ้น ถามคำเดียวว่า “จ่าโอ๋” ผิดอะไร การย้ายคนออกนอกพื้นที่มันก็ต้องย้ายคนผิดออกถูกไหม..? แล้วคำพูดของผู้ใหญ่บางคนที่บอกว่า “100 โรงพัก ก็ทำแบบนี้มาตลอด ไม่เคยมีปัญหา” พูดแบบนี้แสดงว่า “จ่าโอ๋” มันเป็นแกะดำ หรือ คิดให้ดี “จ่าโอ๋” เป็นแกะดำ หรือ “แกะขาว”
ฝากตัวรับใช้นาย ปัดกวาดปัญหาแทนนาย ส่งเงินบำเรอนาย ชื่อเสียงของนายเลื่องลือ?
เรื่องจริงที่ไม่อิงนิยาย ตำรวจชั้นผู้น้อยกดขี่ใช้หาเงินบำเรอนาย อดีตตำรวจฝีปากกล้า เกริ่นก่อนขยายความถึงภาพรวมที่ผ่านมา..
หากเป็นตำรวจมาเกิน 5 ปี จะรู้ว่าเรื่องการเรี่ยไรแบบนี้โดนกันทุกคน บางเรื่องดี..แต่บางคราก็หาดีไม่...เช่น ขอความร่วมมือในการดูแลเจ้านาย เจ้านายอยากตีกอล์ฟแล้วงบขาด ต้องหาเงินส่วนอื่นมาเสริม ตีกอล์ฟ กินข้าว เลี้ยงคาราโอเกะ หาเพื่อนคุย ต่อด้วย #$%##$%#% จะกลับบ้านก็ต้องมีของติดรถ
อ่าว...แล้วถ้าเงินที่ใช้ดูแลไม่พอต้องทำยังไง.. ง่ายๆ ตามสเตป
1.ขอจากผู้ประกอบการเสียก่อน
2.หาส่วนลดหรือขอฟรีๆ เป้าหมายเล็งผู้ประกอบการสีดำหรือเทา
"ถามสิ...เรื่องแบบนี้ใครจะเป็นคนทำ คำตอบคือ ก็ทำกันทุกคนแหละ ไล่มาตั้งแต่ลูกพี่ใหญ่ ลูกพี่ จนมาถึงลูกน้อง ลูกพี่ขอมากๆ เข้าจนไม่มีหน้าจะไปขอ ก็ส่งลูกน้องลงมาแทน!"
เท่านั้นยังไม่พอ ดูแลตัวเองแล้ว ยังต้องดูแลคุณนายด้วย “เออ..คือว่าพอดีคุณนายกำลังจะจัดงานเลี้ยง คุณนายชอบกินไวน์ ด้วย” แล้วแบบนี้จะไปหาของเหล่านี้ที่ไหน...?
อย่างเรื่องแอร์หรือ...เรื่องแค่นี้ลูกพี่มันไม่สนใจหร๊อก (เสียงสูง) ก็กูไม่ได้มานั่งร้อนด้วยนี่หว่า!!
นี่จะเป็นเรื่องจริงไม่อิงนิยายก็ยังไม่มีใครยืนยัน แต่ผู้การวิสุทธิ์ ได้กลั่นกรองมาจากประสบการณ์
ถึงเพลาเรี่ยไร จราจร โดนหนักสุด รองลงมาคือ “สายสืบ”
หากจะให้จัดอันดับตำรวจหน่วยไหนที่โดนเรี่ยไรมากที่สุด “วิสุทธิ์โพล” เผยว่า อันดับ 1 ตลอดกาลนั่นคือ “งานจราจร”
ผู้การวิสุทธิ์ แจงว่า.. งานจราจร นั้นนับว่ามีผลประโยชน์อยู่มาก... เช่น ด่านลอย ด่านใต้ดิน ด่านตรวจคนเมา หรือ ด่านตรวจสิ่งของผิดกฎหมายต่างๆ เรียกว่า ได้เงินทั้งชอบและไม่ชอบด้วยกฎหมาย
รายได้โดยชอบกฎหมาย ผู้การวิสุทธิ์ แจงว่า คือ เงินค่าปรับจากใบสั่งต่างๆ ซึ่งเงินส่วนนี้ จำนวน 55% เจ้าพนักงาน หรือ อาสาจราจร จะได้ส่วนแบ่ง นอกจากนี้ ยังมีเงินเบี้ยเลี้ยงจากการไปปฏิบัติหน้าที่ในการตั้งด่านอีกด้วย
ส่วนรายได้โดยมิชอบ เรียกง่ายๆ ว่า “เก็บสด” มักจะเป็นพวกเรียกรับผลประโยชน์กับผู้ประกอบการ เช่น รถน้ำหนักเกิน ของที่ยื่นออกมาเกินกฎหมายกำหนด ของหนีภาษี รถผิดกฎหมาย ต่างด้าว ของเถื่อน เป็นต้น
“ยกตัวอย่างง่ายๆ หากตั้งด่านเมา...หากถูกจับแล้วอยากรอด สมัยนี้น้อยๆ ก็ต้องจ่ายประมาณ 5,000 บาทแล้ว หากคืนหนึ่งจับได้ 10 คนเป็นเงินเท่าไหร่..?”
ของอย่างนี้เป็นใครๆ ก็รู้ โดยเฉพาะนายตำรวจยศสูงๆ ใน สน.
อันดับ 2 งานสืบสวน คำพังเพยว่าไว้ “จิ้งจกตด สายสืบยังรู้..”
ถามว่าใครที่รู้ดีที่สุดในพื้นที่ ก็ต้องเป็นพวกสายสืบ ผู้การวิสุทธิ์ เกริ่นก่อนเข้าเรื่อง.. “ในวงการมีคำพังเพยพูดกันว่า “จิ้งจกตด สายสืบยังรู้..” จิ้งจกมันตดเสียงเบาขนาดไหนสายสืบมันยังรู้ ฉะนั้นในท้อง...ที่ไม่มีใครรู้ดีเท่าสายสืบ!
ฉะนั้น หากตำรวจนอกแถวรายใดที่คิดจะเก็บส่วยกับพวกคนทำธุรกิจสีดำ เขาจะให้สายสืบไปเก็บ เพราะพวกสายสืบนั้น จะรู้หมดว่า แรงงานต่างด้าวอยู่ไหน โต๊ะบอล หวยเถื่อน อะไรที่ผิดกฎหมาย สายสืบรู้หมด
และเหมือนจะเป็นทำเนียมว่า...หากมีผู้กำกับย้ายมาใหม่ๆ ผู้กำกับจะเรียกฝ่ายสืบมาคุยแต่ไม่ได้ถามว่าอาชญากรรมในพื้นที่มีอะไรบ้าง แต่จะถามว่า “บัญชีส่วย” มันอยู่ที่ไหน
อย่างไรก็ตาม อดีตตำรวจฝีมือดี เผยว่า หน้าที่ตรงนี้...บางครั้งก็ตกเป็นของหน่วยปราบปราม บ้าง เพราะบางพื้นที่ เขาให้ปราบปราม เป็นคนทำ ดังนั้น จึงต้องสานงานต่อ
"ด้วยประการฉะนี้...หากมีเรื่องใดที่ต้องใช้เงินสนับสนุน ฝ่ายจราจรจะโดนหนักหน่อย รองลงมาก็จะเป็นฝ่ายสืบสวน ตามต่อด้วยปราบปราม ส่วนธุรการตัดไป...ไม่มีรายได้” อดีตตำรวจสุดเก๋า กล่าว..
ผู้การวิสุทธิ์ ลั่น พร้อมช่วยจ่าโอ๋ หนุนควรให้ยศร้อยตรี ตอนอายุ 50 ปี เพื่อที่จะเกษียณเป็นนายพัน สร้างความภาคภูมิใจ
ช่วงท้าย.. ผู้การวิสุทธิ์ ได้ฝากผ่าน ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ไปถึง “จ่าโอ๋” ว่า หากไม่มีใครช่วยเขาพร้อมที่จะช่วยเหลือ เพราะทั้งชีวิตนี้ที่เติบโตมาถึงปัจจุบันได้ ผลงานส่วนใหญ่นั้นล้วนมาจากการทำงานของตำรวจชั้นประทวน
“ตั้งแต่ผมเป็นตำรวจมา ผลงานของผมที่เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาประชาชนจนถึงทุกวันนี้ ไม่ใช่ความสำเร็จจากตัวของผมเพียงคนเดียว 90% นั้นมาจากผลงานชั้นประทวนทั้งนั้น ผมสนใจระดับสัญญาบัตรไม่มาก ดังนั้น จะยืนหยัดและต่อสู้กับชั้นผู้น้อย”
หากตนเป็นใหญ่..เห็นตำรวจชั้นประทวนรับราชการจนอายุ 50 ปีแล้ว ตนจะแต่งตั้งยศ ร้อยตรี เลย..เพื่อที่ก่อนเขาเกษียณควรจะได้เลื่อนยศถึงนายพัน สร้างความภาคภูมิใจให้เขาและวงตระกูลเขาที่ทำงานรับใช้งานตำรวจมาอย่างยาวนาน จำเป็นไหม...ที่ต้องรอให้เขามีอายุ 53 ปีก่อน เพราะอีก 7 ปี มันอาจไม่ทันที่จะได้เลื่อนยศเป็นนายพัน แต่ถ้าแต่งตั้งเขาตั้งแต่อายุ 50 ปี เขามีโอกาสได้ขึ้นถึงนายพัน เงินเดือนไม่ต้องขึ้นก็ได้ ทำแบบนี้เพื่อกั๊กเขา เพื่อให้เขาเกษียณที่ยศร้อยเอกใช่ไหม..
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน