หวังดีประสงค์ร้าย โง่แล้วขยัน...
ที่ไล่เรียงคำเปรียบเปรยมาเป็นตัวอย่าง ก็เพื่อจะบอกไปยังผู้มีอำนาจในองค์กรต่างๆ ทั้งของรัฐหรือภาคเอกชนที่ต้องพึงระวังเอาไว้
เพราะดูเหมือนดีแต่ไม่ดีแน่ มีแต่รังจะทำให้เกิดความเสียหายต่อผู้บริหารและองค์กรได้ แม้แต่ผู้นำรัฐบาลก็เถอะ...
หากปล่อยปละละเลยเรื่องทำนองนี้กับบุคคลที่เชื่อถือ และให้ความไว้วางใจคิดว่าเป็นความปรารถนาดี ช่วยคิดช่วยทำ
เอาเข้าจริงกลายเป็นโทษมหันต์ได้
รัฐบาลอำนาจพิเศษชุดนี้ก็มีบุคคลในลักษณะนี้อยู่ไม่น้อยที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯต้องปวดหัวตัวร้อน มาแล้ว
อย่างล่าสุด คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจของ สนช.ได้มีมติเห็นพ้องเสนอให้รัฐบาลขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 1%
“แวต” จากเดิม 7% เป็น 8%
มีการให้เหตุผลเพิ่มไอเดียด้วยว่า จะทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นทันที 7 หมื่นกว่าล้านบาท สามารถนำเงินมาใช้จ่ายได้อย่างเต็มที่
ภาษีมูลค่าเพิ่มนี้เป็นตัวเลขที่ชัดเจนและยากจะหลบเลี่ยง เพราะซื้อสินค้าชิ้นหนึ่งจากเดิมเสียภาษี 7% ก็เพิ่มเป็น 8% ได้ทันที
ว่าไปแล้วระบบการจัดเก็บภาษีในลักษณะนี้ถือว่าเป็นวิธีการที่ดีที่สุด ทำง่าย เห็นผลทันทีและเป็นที่นิยมนำมาใช้กันทั้งโลก
ของไทยนั้นมีแผนงานที่เป็นกฎหมายกำหนดเอาไว้แล้ว จะต้องขึ้นแวตให้ถึง 10% ภายในเวลาที่กำหนดเอาไว้แล้ว
ด้วยสภาพความเป็นจริงทางเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดีนัก จึงมีการเลื่อนเวลาออกไปอย่างไม่มีกำหนด เพราะจะเป็นอุปสรรคและทำให้เกิดปัญหากระทบโดยตรง
วันนี้แม้ยังไม่ขึ้นแวต แต่ก็มีเสียงร้องกันระงมว่า เศรษฐกิจไม่ดี คนยากคนจน หรือชั้นกลางล้วนพูดเสียงเดียวกันมาตลอด
จู่ๆ สนช.ก็เสนอให้ขึ้นแวต 1% โผล่พรวดขึ้นมา
...
เป็นไงล่ะครับ...รัฐบาลแทบหงายหลังรีบออกมาปฏิเสธเป็นพัลวันว่าไม่มีความคิดนี้อย่างเด็ดขาด
แค่ปัญหาเศรษฐกิจในปัจจุบันก็ยากที่จะตอบคำถามให้ชัดเจนอยู่แล้ว ดันเอาเรื่องที่ไม่ควรเป็นเรื่องขึ้นมาอีก
สนช.ทำท่าจะเป็น สปท. เข้าไปทุกทีคือ ไม่รู้จักหน้าที่ของตัวเอง
การขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม 1% นั้น แม้จะดูไม่มากนัก คนชั้นกลางที่มีรายได้พอสมควร คนรวยเศรษฐีมีเงินนั้นไม่มีปัญหาหรอกสบายมาก
แต่คนจนส่วนใหญ่ของประเทศนั้นเดือดร้อนแน่ เพราะซื้อสินค้าทุกอย่างจะต้องจ่ายค่าแวตเพิ่มขึ้นอีก 1% อย่างเท่าเทียมกันไม่ว่าจนหรือรวย
ปัญหาเศรษฐกิจนั้นถือว่าเป็น “จุดอ่อน” ของรัฐบาลอยู่แล้ว ยิ่งมีข้อเสนอในลักษณะนี้ซึ่งมีผลกระทบต่อคนส่วนใหญ่ก็ยิ่งเละกันไปใหญ่
เป็นข้อเสนอที่ประหลาดไม่ต่างกับการ “วางยา” รัฐบาลให้มีอาการหนักเข้าไปอีก ฝ่ายตรงข้ามก็เลยได้ตีกินเหยียบใส่แผลเก่าให้ทรุดลงไปอีก
ว่ากันว่า ถ้ารัฐพึงจะหารายได้จากการเก็บภาษีให้ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยลองส่ายไปหาธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวเอาให้เป็นจริงเป็นจังบริษัทที่หนีภาษีมีเยอะแยะ
แค่ 7 หมื่นล้านบาท หมูในอวยครับ...
“สายล่อฟ้า”